จาก EP.1 ที่ได้มีการกล่าวถึงความหมายของคำว่า Psychological Safety หรือ "ความปลอดภัยทางจิตใจ" คาดว่าท่านผู้อ่านน่าจะพอเริ่มเข้าใจความหมายและพอจะนึกภาพของบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ที่ทำให้เกิดความปลอดภัยทางด้านจิตใจได้พอสมควรแล้วว่าจะมีลักษณะแบบไหน ซึ่งหลักๆ เป็นเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคล วันนี้เราเลยจะมากล่าวถึงกันต่อถึงแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีว่าจะมีวิธีใดบ้างก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า คำว่า "บุคคล" ที่กำลังพูดถึงอยู่นี้คือใคร ถ้าเป็นจากหนังสือเรื่อง Psychological Safety เมื่อทำงานอย่างสบายใจ ใครก็ปล่อยพลังได้เต็มที่ (โดย มัตซึมุระ อาริ นักจิตวิทยาเชิงบวกชาวญี่ปุ่น) จะมีการกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 2 แกน คือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในแนวตั้ง และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในแนวนอน ซึ่งถ้าเป็นตัวอย่างในที่ทำงาน บุคคลในแนวตั้งก็คือความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง ส่วนบุคคลในแนวนอนก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน สำหรับผู้เขียนเองนั้นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือความสัมพันธ์กับคนที่อยู่รอบตัวเราทุกทิศทาง ขึ้นอยู่กับว่า ในแต่ละเวลา ในแต่ละเหตุการณ์ ในแต่ละสถานที่นั้น เรากำลังอยู่ในบทบาทอะไร เช่น บทบาทความเป็นพ่อ-แม่-ลูก, เป็นสามี-ภรรยา, เป็นพี่-น้อง, เป็นครู-ลูกศิษย์, เป็นเพื่อน, เป็นคู่รัก, หรือจะเป็นอะไรกันก็แล้วแต่ ในชีวิตจริงมันจะมีความสัมพันธ์กันทุกๆ องศา แต่ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในองศาไหนหรือแกนใด เราทุกคนก็ย่อมอยากจะให้ทุกความสัมพันธ์นั้นเป็นไปอย่างราบรื่นและดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่คือสิ่งที่อยากให้ผู้อ่านลองนึกภาพตามไปด้วยกัน เพื่อจะได้เป็นการทบทวนตัวเองว่าตอนนี้เรามีความสัมพันธ์แบบไหนกับใครอยู่บ้าง แล้วความสัมพันธ์ที่มีในตอนนี้มันเป็นอย่างไรแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีนั้น ถ้าเราเข้าไป search ค้นใน google เราจะพบกับคำตอบมากมายหลากหลาย ซึ่งส่วนตัวคิดว่าก็น่าจะนำไปปรับใช้ได้ทั้งหมด แต่ความน่าสนใจในหนังสือที่ได้อ้างอิงข้างต้นนั้นกำลังบอกให้เราหยุดพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นตัวบ่อนทำลายความสัมพันธ์ สมมติว่าให้ผู้อ่านลองทำการประเมินระดับความสัมพันธ์อย่างง่ายๆ 3 ระดับ ได้แก่(+1) เท่ากับความสัมพันธ์อยู่ในระดับที่เรามีความรู้สึกดี นึกถึงปุ๊ป ยิ้มปั๊ป มีแต่เรื่องประทับใจ สุขใจ(0) เท่ากับความสัมพันธ์อยู่ในระดับที่ไม่ยินดียินร้าย ราบเรียบ ไม่หวือหวา(-1) เท่ากับความสัมพันธ์อยู่ในระดับที่เรามีความรู้สึกไม่ดี นึกถึงปุ๊ป มีแต่เรื่องไม่ดีที่เรารู้สึกไม่ชอบใจ เศร้าใจ เสียใจ โกรธดังนั้นแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในบทความนี้ จะเป็นแนวทางที่จะช่วยเปลี่ยนจากระดับติดลบ ให้กลับมาอยู่ตรงระดับกลางก่อน คือเปลี่ยนจาก (-1) เป็น (0) ก็คือการหยุดพฤติกรรมบ่อนทำลายความสัมพันธ์ซึ่งอาจดำดิ่งลงไปเป็นติดลบมากกว่าเดิม โดยจะมี 4 พฤติกรรม ดังต่อไปนี้หยุด…การวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นหยุด…การดูถูกผู้อื่นหยุด…การหาข้ออ้างให้ตัวเองหยุด…การหลีกหนีปัญหา 1. หยุดการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น"เธอนี่มันไม่ได้เรื่องเลย", "ทำไมถึงเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้", "เธอนี่เป็นแบบนี้เสมอเลยนะ" ท่านผู้อ่านเคยโดนใครตำหนิจากคำพูดเหล่านี้บ้างไหมคะ แล้วคุณรู้สึกอย่างไรในใจ คิดว่าคงไม่มีใครดีใจที่ได้ยินได้ฟังอะไรแบบนี้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่เมื่อได้รับคำตำหนิหรือคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ก็จะเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้นมาในจิตใจ บางคนอาจรู้สึกหดหู่ และหนักไปถึงขั้นเริ่มมองตัวเองไปในเชิงลบ ทำให้เริ่มขาดความมั่นใจ มีผลไปถึงเรื่องการขาดความเคารพในตัวเอง (self-esteem) อาการหนักมากๆ เข้าก็อาจก่อให้เกิดโรคซึมเศร้ากันได้ หรือแม้แต่กับบางคนที่ดูเหมือนจะมีความมั่นใจในตัวเองสูง ถ้าหากได้รับคำวิจารณ์เหล่านี้ ก็อาจเกิดความสงสัยขึ้นว่าทำไมเขามาพูดว่าเราแบบนี้ เพราะคนที่มีความมั่นใจสูงมากๆ มักจะมีความคิดที่ว่าตัวเองก็ทำดีอยู่แล้ว จะรู้สึกหงุดหงิดที่โดนโจมตี และจะเกิดภาวะป้องกันตัวเอง มีโอกาสที่จะมองสะท้อนกลับไปยังคนที่วิจารณ์ เช่น มาวิจารณ์คนอื่นแบบนี้แล้วตัวคนที่พูดนั้นดีแล้วหรือ บางรายอาจมีการโต้แย้งกลับ เกิดการถกเถียง ทะเลาะกัน ไม่มีที่สิ้นสุด ตัวอย่างง่ายๆ ที่เราสามารถเห็นได้จาก social platform ต่างๆ มีการโพสต์ comment ในเชิงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย โดยเฉพาะกับดารานักแสดงผู้มีชื่อเสียงต่างๆ ถึงแม้จะเป็นที่รู้จักในวงสังคม แต่เราไม่อาจรู้จริงถึงนิสัยใจคอของเค้า เราไม่อาจรู้เหตุผลที่แท้จริงของความคิดและการกระทำของเค้า เพียงเค้าแค่โพสต์บางประโยค หรือโพสต์รูปลงมาใน "พื้นที่" ของเค้า กลับกลายเป็นพื้นที่ระบายความอึดอัดของผู้คนมากหน้าหลายตา กลับกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีความปลอดภัยทางจิตใจ ยกตัวอย่างนักร้องนักแสดงในต่างประเทศหลายรายที่สุดท้ายต้องปิดพื้นที่ส่วนตัว หรือ account ของตัวเอง เพราะรับไม่ไหวกับคำวิจารณ์ที่พรั่งพรูเข้ามา บางรายถึงขั้นป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตใจ บางรายถึงขั้นฆ่าตัวตายก็มี ที่กำลังจะบอกคือไม่ได้แปลว่าเราตำหนิหรือว่าใครไม่ได้เลย แต่การตำหนินั้นอาจจะต้องมีการขยายความให้คนที่ได้รับคำตำหนิเค้าเข้าใจว่าเค้าต้องปรับปรุงเรื่องอะไร เพื่อจะได้ดีขึ้น หรือเป็นการตำหนิเพื่อบอกเค้าว่าการที่เค้ามีพฤติกรรมที่ไม่ดีนั้นๆ ส่งผลให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง หรือก่อนที่จะตำหนิ เราควรที่จะต้องถามไถ่กันสักนิดนึงว่าเขามีเหตุผลอันใด หรือกำลังเผชิญอะไรอยู่ เขาถึงทำพฤติกรรมเหล่านั้นออกมา ซึ่งเทคนิคนี้เรียกว่า "Tell Me About It" โดยผู้เขียนจะขอแนะนำเทคนิคนี้เพิ่มเติมในบทความฉบับถัดๆ ไป ซึ่งเป็นเทคนิคของการสร้างภาวะความเป็นผู้นำ (Leadership Development)จากที่ได้กล่าวมาท่านผู้อ่านคงพอเห็นภาพของผลลัพท์ที่เกิดจากการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นกันแล้วว่าส่งผลในเชิงลบมากเพียงใด และถ้าตัวเราเองสามารถหยุดพฤติกรรมดังกล่าวได้ ความสัมพันธ์เดิมที่เราเคยติดลบกับอีกคนอยู่ก็อาจจะค่อยๆ กลับมาดีขึ้น ลองฝึกปฏิบัติไปด้วยกันนะคะ เพราะผู้เขียนเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน ทัั้งความคิดและการลงมือทำ และถ้าทุกคนคิดในลักษณะนี้เหมือนๆ กัน ก็คงจะไม่มีใครมาคอยพูดว่า "ทำไมเราต้องเป็นคนเปลี่ยนล่ะ" หรือ "ทำไมเค้าไม่เปลี่ยนก่อนล่ะ" เพราะถ้าปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กัน ผลลัพธ์ของความสัมพันธ์น่าจะออกมาดีกว่า เว้นเสียแต่ว่าคุณไม่อยากให้ความสัมพันธ์ที่มีอยู่นั้นดีขึ้น2. หยุดการดูถูกผู้อื่น"ไม่ได้ดูถูก ก็แค่พูดความจริง" เคยได้ยินอะไรแบบนี้บ้างไหมคะ อันที่จริงแล้วเราสามารถเลือกที่จะพูดความจริงในมิติอื่นที่ไม่ได้เป็นการแสดงออกถึงการดูถูก ดูหมิ่น เยาะเย้ย ถากถาง หรือด้อยค่าผู้อื่นได้ แต่เราคงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการดูถูกนั้นคืออะไร เพื่อที่จะได้ง่ายขึ้นต่อการเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องนี้ การดูถูกเป็นเรื่องของ "ความเชื่อ" ว่า คนอื่นไร้ความสามารถ เก่งน้อยกว่าเรา ดีน้อยกว่าเรา แย่ไปกว่าเรา เพราะเรากำลังเอาตัวเองเป็นที่ตั้งแล้วเชื่อว่าคนอื่นนั้นต่ำต้อยกว่า ในความเป็นจริงการเปลี่ยนความเชื่อดังกล่าวมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครหลายๆ คนที่จะเปลี่ยนได้ภายในช่วงข้ามคืน ผู้เขียนไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อเข้ามาอ่านบทความนี้แล้วคุณจะเปลี่ยนความเชื่อที่สะสมมานานได้ในทันที แต่ผู้เขียนมีความเชื่อว่าอย่างน้อยทุกท่านที่เข้ามาอ่าน น่าจะเกิดการตั้งคำถามกับตัวเองว่า นั่นสิแล้วทำไมเราถึงเชื่ออย่างนั้น? ทำไมเราถึงเชื่อว่าว่าเราเก่งหรือดีกว่าคนอื่นนะ? ทำไมคนอื่นเค้าถึงเก่งหรือดีไม่เท่าเรา? มันต่างกันที่จุดไหน? เรื่องอะไรที่พอเป็นตัวอย่างได้บ้าง?ผู้เขียนขอยกตัวอย่างง่ายๆ แบบนี้นะคะ หากลองย้อนกลับไปในวัยเด็ก ในช่วงเวลาที่เรากำลังเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียน มันก็จะมีเพื่อนบางคนที่เรียนเก่งมากๆ กับเพื่อนบางคนที่เรียนไม่เก่งเลย (ส่วนตัวผู้อ่านเป็นแบบไหนนั้นลองพิจารณากันเองนะคะ) สำหรับคนที่มีผลการเรียนที่ดี คนส่วนใหญ่ก็มักจะมองว่าพวกเขาเหล่านี้มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูง เนื่องจากผลการเรียนนั้นบ่งบอกถึงความพยายาม ความตั้งใจ ในการอ่านหนังสือ จดจำสิ่งที่เรียนมาแล้วไปสอบ เป็นคนมีความรู้แน่น ซึ่งก็เป็นไปได้สองแบบคือคนที่หัวดี (พรสวรรค์) กับคนที่ขยัน (พรแสวง) กับนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งที่ผลการเรียนไม่ดี อาจจะเพราะไม่ตั้งใจเรียน ขี้เกียจ หรือบางคนถึงแม้จะพยายามหรือขยันมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถทำผลคะแนนออกมาให้ได้ดี คนกลุ่มนี้เองก็มักจะถูกมองว่าไม่น่าจะเป็นคนที่ทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จ หรือมีโอกาสล้มเหลวสูง การถูกมองดังกล่าวเป็นการมองที่ "ความสามารถในการทำคะแนนสอบในวิชานั้นๆ" ดังนั้นผู้เขียนจึงมองว่าลักษณะของการดูถูกคือการมองเห็น "ความสามารถในการทำบางสิ่งบางอย่างที่เฉพาะเจาะจง" (Ability to Do Specific Thing) ซึ่งถ้าตีความให้ชัดเจนมากขึ้น การดูถูกนั้นก็คือการมองเห็นความสามารถในเชิงลบหรือที่เรียกว่า "จุดอ่อน" มากกว่าการมองไปที่ "จุดแข็ง" นั่นเอง จากตัวอย่างข้างต้น กลุ่มเด็กนักเรียนที่ถึงแม้จะมีผลการเรียนที่ไม่ดี จากจำนวนวิชาเรียนที่บรรจุอยู่ในหลักสูตรเฉพาะ เมื่อออกมานอกห้องเรียน ออกจากรั้วโรงเรียน เค้าอาจมีความสามารถอื่นๆ ที่โดดเด่นมากกว่า เช่นในยุคปัจจุบันการเป็น creator ในการสร้าง content ต่างๆ เราจะเห็นเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่มีความสามารถในการผลิต content ที่น่าสนใจต่างๆ มากมาย ทั้งมีประโยชน์ สนุก และสร้างสรรค์ ซึ่งความสามารถเหล่านี้ในบางสถานศึกษาอาจจะยังไม่ได้มีการบรรจุเป็นรายวิชาให้นักเรียนได้เลือกเรียน แต่ก็เริ่มมีหลายสถาบันการศึกษาที่กำลังปรับเปลี่ยน พัฒนาหลักสูตร และมีแนวคิดใหม่ๆ ให้ผู้เรียนนั้นมีทางเลือกมากขึ้นที่เหมาะกับความสนใจและความถนัดของตนที่ผู้เขียนกำลังจะบอกก็คือ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความสามารถหรือจุดแข็งเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป ตามความสนใจ และความถนัดของตัวเอง บางครั้งในสิ่งที่เราเห็นว่าเค้าไม่เก่งหรือทำอะไรในสิ่งนั้นได้ไม่ดี ก็อาจเป็นเพราะเค้าอาจไม่ได้มีความถนัดในสิ่งนั้น แต่อาจต้องฝืนทำด้วยความจำเป็นอะไรก็ตามที่เราเองก็อาจจะไม่รู้แน่ชัด ยกตัวอย่างขึ้นมาในอีกขั้นหนึ่งของคนทำงาน คนส่วนใหญ่ทำงานก็เพราะต้องการแลกระหว่างการใช้แรงงานหรือใช้ความสามารถของตัวเองที่มี กับเงินขององค์กรหรือผู้ว่าจ้าง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้เลย เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายอะไรบางอย่างหรือหลายอย่างในชีวิต ซึ่งเงินยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในอันดับต้นๆ แม้กระทั่งความสุขเองบางครั้งก็ยังต้องแลกมาด้วยเงิน เช่นความสุขคือการได้ไปเที่ยว ไปเที่ยวก็ต้องใช้เงิน จะมากหรือจะน้อยก็ต้องใช้ แต่ความสุขบางอย่างอาจเป็นไปได้ที่ไม่ใช้เงินแลกมา เช่นการไปบริจาคสิ่งของเหลือใช้ อันนี้เป็นเรื่องของการให้ แล้วสิ่งที่ได้คือความสุขทางใจ เราจึงเห็นว่าในบางคนพยายามที่จะพัฒนาความสามารถหรือจุดแข็งของตัวเอง เพื่อจะได้ตอบสนองต่อความต้องการขององค์กรหรือผู้ว่าจ้าง ก็จะเป็นการ Win-Win ทั้งสองฝ่าย และมีโอกาสที่จะถูกผลักดันให้มีความก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปในหน้าที่การงาน กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ถึงแม้จะพยายามเท่าไหร่ แต่ก็ไปได้ไม่สุด หากเพียงหัวหน้า หรือองค์กร หรือผู้ว่าจ้างมองเห็น ว่าควรปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาคนๆ นั้นอย่างไร ให้เค้าได้แสดงศักยภาพที่มีให้ได้มากที่สุด มันอาจเป็นไปได้ว่าสิ่งที่เค้ากำลังทำอยู่นั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับเค้า หากเรารู้ว่าเค้ามีความสามารถอื่นอะไรที่จะมีโอกาสแสดงศักยภาพออกมาได้มากกว่า การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายงานอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย คนทำงานได้แสดงความสามารถในสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเอง ในขณะที่องค์กรก็จะได้ผลลัพท์จากการทำงานของคนๆนั้น ได้อย่างเป็นไปตามเป้าหมายที่องค์กรอยากได้ ดังประโยคคลาสสิคที่ว่า "Put the Right Man on the Right Job" ดังนั้นจึงอยากจะเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านให้ลองหันมามองในจุดแข็งมากกว่าที่จะมองไปที่จุดอ่อนของผู้อื่น ซึ่งถ้าหากคุณคิดอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายให้ดีขึ้น การชื่มชมผู้อื่นในจุดแข็งของเค้า จะช่วยให้อีกฝ่ายนั้นรู้สึกมีความมั่นใจและภูมิใจในตัวเองมากขึ้น รู้สึกว่ามีคนมองเห็นคุณค่าในตัวเค้า ความรู้สึกดีๆ ในเชิงบวกก็จะเริ่มกลับเข้ามามากขึ้น ในข้อนี้เองผู้เขียนมองว่ามีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ได้มากกว่าการทำให้ดีขึ้นจากติดลบเป็นศูนย์ แต่มีโอกาสเพิ่มไปยังระดับบวก เพราะเชื่อว่ามนุษย์เราทุกคนนั้นต้องการ "การเป็นที่ยอมรับ" ต้องการ "การมีตัวตน" โดยเฉพาะกับผู้ที่มีความใกล้ชิดกันมากๆ และจุดนี้เองจะนำไปสู่เรื่อง "การเชื่อใจและไว้ใจในกันและกัน"3. หยุดการหาข้ออ้างให้ตัวเอง"ฉันไม่ได้เป็นคนผิดนะ เธอนั่นล่ะที่ผิด", "ไม่เกี่ยวกับฉันเลย เขานั่นล่ะเป็นคนทำ”, “ก็วันนี้รถมันติดมาก วันนี้ก็เลยมาสาย”, “วันนี้งานยุ่งมากเลย ขอโทษนะที่ลืม”จากตัวอย่างดังกล่าว การหาข้ออ้างให้ตัวเองคือการพยายามหาเหตุผลอะไรต่างๆ นานา มาเพื่อทำให้ตัวเองพ้นผิด โดยส่วนใหญ่จะเป็นการโยนความผิดให้กับคนอื่นหรือสิ่งอื่น หากไม่ผิดจริงก็สามารถยืนยันได้ว่าเราไม่ได้ทำผิดจริงๆ แต่ในกรณีที่กล่าวถึงนี้คือการที่เราไปทำพฤติกรรมอะไรบางอย่างให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่หลายคนอาจจะเคยเจอกรณีแบบนี้ เช่นการขับรถไปกับเพื่อนหรือกับครอบครัว แล้วให้คนหนึ่งเป็นคนขับ อีกคนเป็นคนดูเส้นทาง ถึงแม้สมัยนี้จะมี google map ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่หลง ซึ่งมันก็อาจทำให้เกิดการเสียเวลา ต้องไปเจอรถติดกว่าเดิม ไม่สามารถไปตามเวลาที่นัดหมายได้ ทำให้อาจจะเสียโอกาสอะไรไปบางอย่าง เช่นการไปทำธุรกิจส่วนตัว อาจทำให้ต้องเสียลูกค้าไป พอเป็นแบบนั้นก็อาจทำให้เกิดการถกเถียงกันขึ้น โทษกันไปมา โกรธกัน และทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง ซึ่งจริงๆ ในกรณีแบบนี้หากมีการช่วยกันศึกษา สำรวจเส้นทางกันก่อนที่จะออกเดินทาง โอกาสที่จะหลงหรือผิดพลาดก็อาจจะลดน้อยลง เป็นการช่วยกันประเมินความเสี่ยงกันตั้งแต่ต้น เมื่อช่วยกันวางแผนกันตั้งแต่แรก โอกาสที่จะไม่โทษกันไปมาก็น่าจะลดลงเช่นกัน เพราะรับรู้และตกลงร่วมกันมาแล้ว จริงๆ ผู้เขียนเองก็เคยมีประสบการณ์ที่ตัวเองพยายามหาข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด แต่เราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันผิด และทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ ครั้งหนึ่งสมัยที่ผู้เขียนอยู่ชั้น ม.3 กำลังจะขึ้นชั้น ม.4 เป็นช่วงที่กำลังมีแผนจะย้ายไปอีกโรงเรียนหนึ่ง เพื่อนสนิทคนหนึ่งของผู้เขียนฝากซื้อใบสมัครสอบเข้าโรงเรียนนั้น ซึ่งผู้เขียนเองก็ซื้อมาให้เพื่อนเหมือนกัน แต่เกิดปัญหาบางอย่างที่ตัวเราเองกรอกรายละเอียดในใบสมัครผิด แล้วเราดันไปเอาใบสมัครที่เพื่อนฝากซื้อมากรอกของตัวเองใหม่ แต่ตัวผู้เขียนเองจำไม่ได้แน่ชัดว่าตอนนั้นบอกกับเพื่อนว่าอย่างไร แล้วก็จำไม่ได้ว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงทำอะไรลงไปแบบนั้น แต่รู้สึกได้ว่าเพื่อนน่าจะไม่พอใจอยู่พอสมควรเลย ซึ่งก็จำไม่ได้อีกเหมือนกันว่าเพื่อนได้ไปซื้อใบสมัครมาใหม่เองหรือเปล่า รู้แต่ว่าสุดท้ายเราไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกันอีก ผู้เขียนย้ายไปอยู่โรงเรียนใหม่ ส่วนเพื่อนเราอยู่โรงเรียนเดิม ตอนนั้นน่าจะเป็นการอ้างไปว่าเป็นเพราะเราเขียนผิดก็เลยต้องใช้ใบสมัครของเพื่อนแทน แล้วบอกให้เพื่อนไปซื้อเองใหม่ ซึ่งจริงๆ เป็นพฤติกรรมที่ไม่น่ารักเลย ถ้าเป็นตัวผู้เขียนโดนเองก็คงไม่พอใจเหมือนกัน นั่นคือสมัยตอนที่ผู้เขียนยังเด็ก แต่ปัจจุบันกับเพื่อนคนนั้นเราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ติดต่อกันสักเท่าไหร่ แต่เมื่อได้มีโอกาสคุยกัน เจอกัน เราก็ยังต่อกันติด และที่เล่ามาก็กลายเป็นเรื่องที่เอามาบ่นเล่นกันจนถึงทุกวันนี้ เหตุที่เรายังคบกันอยู่ได้ ผู้เขียนเชื่อว่ามาจากการที่ผู้เขียนได้กล่าว “คำขอโทษ” และการทำให้เพื่อนเรารู้สึกว่าเราได้ทำผิดต่อเค้าจริงๆ พูดและแสดงออกอย่างจริงใจ มันเลยยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนยังคงอยู่ประเด็นของข้อนี้ก็คือ ให้เราฝึกที่จะกล่าว “คำขอโทษ” เมื่อเราเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจ แต่การใช้คำขอโทษนั้นก็มีข้อควรระวังอยู่มากมาย เช่น ควรจะขอโทษด้วยความจริงใจ ไม่ควรขอโทษไปแบบผ่านๆ ที่แค่เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งสบายใจขึ้นหรือหายโกรธ เพราะมันจะขึ้นอยู่กับว่าเหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ หรือไม่ ซึ่งมันจะหมายถึงว่าเราไม่คิดที่จะปรับปรุงและทำให้มันดีขึ้น ดังนั้นการขอโทษซ้ำๆ ในเรื่องเดิมๆ ก็อาจจะไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีหรือสบายใจขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการพูดคุยสื่อสารกันให้เข้าใจถึงข้อจำกัดบางอย่างในตัวเรา ก็อาจจะช่วยให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจเรามากขึ้น และอาจจะช่วยหาทางออกที่ดี ที่เหมาะสมให้กับเราก็เป็นไปได้4. หยุดการหลีกหนีปัญหาเมื่อคุณผู้อ่านกำลังเผชิญกับ “ปัญหา” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม คุณจะทำอย่างไรต่อไปคะ ขอยกตัวอย่างง่ายๆ หากว่าเราย้อนกลับไปเป็นเด็กที่กำลังเรียนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ มันก็มีโจทย์ต่างๆ มากมายมาให้แก้ จะเห็นว่ามีเด็กกลุ่มหนึ่งที่พอเห็นโจทย์เหล่านั้นก็จะมีความตื่นเต้น มีความกระตือรือร้นอยากที่จะทำ เพราะมองว่าเป็นเรื่องสนุกหรือเป็นเรื่องท้าทาย บางคนก็เป็นลักษณะของคนที่อยากจะเอาชนะ อยากเก่ง อยากได้คะแนน ต่อให้ยากแค่ไหน ก็จะมุ่งมั่นทำให้ได้ กับเด็กอีกกลุ่มหนี่งที่พอเห็นโจทย์แบบนั้นก็มักจะเมินหน้าหนี ไม่อยากทำ รู้สึกว่ามันยากเกินไปที่จะทำได้ บางคนก็อาจเลือกที่จะไม่ทำ ไม่ยุ่งเลย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจ หากแต่ปัญหาที่ว่า เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ถ้าเราไม่ใส่ใจ เมินเฉยต่ออีกฝ่าย แน่นอนว่าช่องว่างของความสัมพันธ์ก็จะยิ่งห่างขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากเราเกิดการทะเลาะกับคนในครอบครัวเนื่องจากความเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง หากเราไม่พูดคุยกันเพื่อปรับความเข้าใจ หรือถามไถ่ถึงข้อสงสัย ปัญหาก็ยังคงอยู่ อาจจะเป็นความเข้าใจแบบผิดๆ คิดไปเอง ทั้งที่ความจริงอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้ เพราะส่วนใหญ่การที่คนเราทะเลาะเบาะแว้งกันนั้นก็มาจากภาวะของการควบคุมอารมณ์ไม่ได้ และยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งในความเป็นจริงผู้เขียนเองก็เข้าใจดีว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง และบางครั้งเราจำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียกสติกลับคืนมา เราจึงมักจะเคยได้ยินกันว่าถ้าทะเลาะอะไรกับใครแล้วนั้น พยายามอย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยเกินข้ามวัน เพราะหลังจากนั้นความรู้สึกหรือความสัมพันธ์ก็จะเริ่มห่างทันที แต่เรื่องเหล่านี้มันก็เป็นเรื่องที่ sensitive สำหรับใครหลายๆ คนรวมถึงตัวผู้เขียนเองในบางครั้ง จึงเป็นข้อคิดว่าคนเราทุกคนนั้นสามารถมีอารมณ์โกรธ หงุดหงิด ไม่ชอบใจ ต่อบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งได้ แต่ถ้าเราสามารถดึงสติ ลดอคติลง ลดทิฐิในตัวเอง ได้เร็วเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะยังคงรักษาความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายหนึ่งนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้สูง เพราะยิ่งเรารู้สภาวะอารมณ์ของตัวเองได้เร็ว บวกกับถ้าเราคิดว่าความสัมพันธ์นั้นมีความสำคัญกับชีวิตเราจริงๆ เราจะพยายามหาทางแก้ไข หาช่องทางในการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีการอะไรก็ตามที่อาจจะแตกต่างไปตามแต่ละความสัมพันธ์ พูดให้ง่ายๆ สำหรับข้อนี้ก็คือการที่คุณจะแสดงออกถึง "ความพยายาม" ที่จะรักษาความสัมพันธ์ของคุณไว้นั่นเอง เท่ากับการที่คุณจะไม่วิ่งหนีไปจากปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นการแสดงออกถึงความพยายามที่อยากจะคลี่คลายและแก้ปัญหานั้น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เองจะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นในระดับเชิงบวก เพราะอีกฝ่ายจะรู้สึกว่าเรายังคงใส่ใจและให้ความสำคัญกับเค้าอยู่ หวังว่าบทความฉบับนี้ จะพอเป็นแนวทางให้ท่านผู้อ่านสามารถนำไปทดลองฝึกปฏิบัติในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองดู และจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกๆ ความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นภายในครอบครัว ในที่ทำงาน เพื่อเป็นการสร้างพื้นที่ความปลอดภัยทางจิตใจให้กับทั้งตัวเองและผู้อื่นนะคะContent by Big Owlภาพหน้าปกทำเองจาก canva.com พื้นหลังโดย Freepik จาก Freepik.comภาพที่ 1 โดย jcom จาก Freepik.comภาพที่ 2 โดย pikisuperstar จาก Freepik.comภาพที่ 3 โดย Freepik จาก Freepik.comภาพที่ 4 โดย stefamerpik จาก Freepik.comเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !