หากจะพูดถึงรถยนต์ในวงการมอเตอร์สปอร์ตอย่าง F1 หรือรายการแข่งขันชื่อดังระดับโลกรายการต่าง ๆ ชื่อของ Ferrari มักจะผุดขึ้นมาเป็นอันดับแรก ๆ หรือในบรรดารถซูเปอร์คาร์กับสีแดงสด ก็ต้องมีแบรนด์ม้าลำพองติดอยู่ในลิสต์แน่นอน ด้วยประสบการณ์อันยาวนานและประสิทธิภาพของรถอันเกรี้ยวกราดทำให้ Ferrari มีชื่อเสียงทั่วโลก ทุกคนในวงการรถต่างให้การยอมรับว่ามันคือแบรนด์รถยนต์ที่ทรงคุณค่าของโลกเป็นปกติที่การจะไปอยู่จุดสูงสุดของวงการมอเตอร์สปอร์ต จนมีคนยอมรับย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่ง Ferrari เองก็เช่นกันครับแต่ว่าการมาของชายที่ชื่อ Enzo Ferrari ทำให้แตกต่างจากผู้ก่อตั้งแบรนด์รถคนอื่น ๆ นั่นเพราะเขาไม่ใช่นักธุรกิจเน้นยอดผลิตจำนวนมาก ไม่ใช่วิศวกรฝีมือดีที่สร้างนวัตกรรมใหม่ แต่เป็นชายผู้คลั่งไคล้ยานยนต์ 4 ล้อที่กระหายชัยชนะ ผู้ไม่ยอมตกอยู่ใต้การควบคุมของใครเรื่องราวของ Ferrari ก็ต้องย้อนไปยังสมัยที่ Enzo ยังเป็นเด็ก ความจริงแล้วเขาไม่ได้มีความสนใจเรื่องเครื่องจักรกลมากนัก จนกระทั่งบิดาของเขาได้พาไปชมการแข่งขันรถยนต์ นั่นทำให้ความรักและคลั่งไคล้รถของเขาเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นความฝันที่จะได้ทำรถก็ยังไม่มาถึง เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914 -1918 ทำให้กิจการเหล็กของบิดาต้องถูกขายลงไป พร้อมกับการเสียชีวิตของบิดาและพี่ชาย ทำให้ Enzo ต้องออกเดินทางไปหางานทำ จนในที่สุดงานของเขาก็มาลงตัวที่ Alfa Romeo บริษัทรถอิตาลีในตำแหน่งนักขับทดสอบรถยนต์การงานในช่วงชีวิตดังกล่าวถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างล้ำค่าของ Enzo เพราะด้วยตำแหน่งหน้าที่ ทำให้เขาได้สัมผัสกับรถยนต์อย่างใกล้ชิด ทั้งความสวยงามและสมรรถนะ จนทำให้เขาได้ตั้งทีมแข่งภายใต้สังกัด Alfa Romeo ในชื่อ Scuderia Ferrari ซึ่งผลงานก็ทำได้ยอดเยี่ยมคว้าแชมป์สนามแรกในปี 1924ในระหว่างการทำทีมแข่งมันก็ทำให้เขาได้พบกับบุคลากรมากความสามารถอย่าง Luigi Bazzi ผู้อยู่เบื้องหลังการผลิตเครื่องยนต์รถ Alfa Romeo 2 Alfa158 รวมไปถึงการดึงตัวนักแข่งฝีมือดี Tazio Nuvolari กับ Targo Florio สองนักแข่งผู้เคยคว้าชัยชนะในศึก Mill Miglia ปี 1933 และศึก Germany Grand Prix ที่ Nurburgring ในปี 1935 มาร่วมทีมจะเห็นได้ว่ารอบตัวของ Enzo แวดล้อมไปด้วยคนเก่ง ๆ ทั้งนั้น มันก็เพราะความรักความชอบที่เหมือนกันมักจะดึงดูดเข้าหากันเสมอ ตัวของ Enzo มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าตั้งแต่เด็ก จนถึงวัยทำงานว่าจะนำรถของตนสู่จุดสูงสุดของวงการมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งความมุ่งมั่นแบบนี้ก็ก่อให้เกิดแนวคิดที่อาจจะขัดแย้งกับฝ่ายบริหาร ความทะเยอทะยานอยากที่จะเป็นอันดับ 1 ตัวจริงมันก็ทำให้ Enzo ต้องออกจาก Alfa Romeo ไปเมื่อปี 1939 โดยสาเหตุการออกของเขาบ้างก็ว่าไม่อยากสูญเสียความเป็นตัวเอง บ้างก็ว่าความเห็นไม่ตรงกัน จนถึงขั้นขัดแย้งกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบริษัท แต่ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม Enzo ได้ออกมาตั้งบริษัทเองใน Modena บ้านเกิดของเขา พร้อมกับช่างเครื่องยนต์ Luigi Bazzi แม้ว่าในช่วงเริ่มแรกพวกเขาต้องเจอกับวิกฤตสงครามโลกครั้งที่ 2 จนโรงงานโดนระเบิด แต่ในปี 1946 เขาก็เปิดโรงงานอีกครั้ง จากนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นการคว้าชัยชนะในสนามแข่งต่าง ๆ ด้วยความตั้งมั่นที่ชัดเจน ทำให้การผลิตรถในแต่ละรุ่น ถูกออกแบบมาเพื่อสนามแข่งขันโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นรถแข่งสมรรถนะสูง รถฟอร์มูล่า 1 (F1) ถูกผลิตออกมาด้วยความพิถีพิถัน ทำให้ Ferrari เป็นจ้าวสนามในทุกรายการชื่อดังของโลกเช่น Le Mans 24 Hours, Formula 1 รวมถึงครองแชมป์ผู้ผลิตรถ, แชมป์โลกนักขับในวงการ F1 ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรายการแข่งในอิตาลีเอง ม้าลำพองก็กวาดแชมป์มาได้ทั้งหมดจากความสำเร็จนี้ก็นำพาให้กำเนิดอะไรหลาย ๆ อย่างครับเช่นสุดยอดนักแข่งรถ F1 ที่ทุกคนต้องรู้จักคือ Michael Schumacher, Niki Lauda ในสังกัด Ferrari รวมถึงกำเนิดคู่แข่งตลอดกาลอย่าง Lamborghini ด้วย รวมไปถึงกำเนิดยอดรถแข่ง Ford GT40 จนเอาชนะได้ในการแข่ง Le Mans 24 Hours เรียกได้ว่า Ferrari เป็นทั้งผู้ดึงดูดบุคลากรระดับหัวกะทิ และให้กำเนิดคู่แข่งระดับเดียวกันไปด้วยอย่างไรก็ตามการมุ่งเน้นการแข่งรถโดยไม่เน้นแสวงหากำไร การผลิตเครื่องยนต์ที่ใช้มือคนผลิตไม่ใช่เครื่องจักรสายพาน ทำให้เกิดความสิ้นเปลืองและขาดทุน จนในที่สุด Ferrari ต้องยอมขายหุ้นให้กับ Fiat ถึง 90% แต่กระนั้น ด้วยชื่อเสียงความสำเร็จที่สั่งสมมาเป็นเวลานานก็ทำให้ทุกคนต่างยอมรับว่า Enzo Ferrari คือบุคคลทรงคุณค่าแห่งวงการมอเตอร์สปอร์ตโดยแท้จริงปัจจุบันจึงไม่แปลกที่มีคนซื้อ Ferrari เพื่อซื้อความสำเร็จ ก็เพราะเบื้องหลังของแบรนด์ม้าลำพองนี้มาจากการแข่งขัน ชัยชนะ ความเป็นที่ 1 นั่นเอง จากเรื่องราวนี้ก็ยังทำให้ได้แง่คิดหลายอย่างครับ โดยเฉพาะความตั้งใจการมี Passion อย่างแรงกล้าทำให้มองเป้าหมายได้ชัดเจน ความทะนงตนไม่ยอมอยู่ใต้บัญชาใคร มันอาจจะเป็นดาบสองคม แต่มันก็มีข้อดีที่เราไม่เสียความเป็นตัวของตัวเองอีกสิ่งที่น่าสนใจก็คือการกระตุ้นให้มีแรงจูงใจ ซึ่ง Ferrari เองเป็นแบรนด์รถแข่งที่มากล้นด้วยชัยชนะ ดังนั้นย่อมก่อให้เกิดการแข่งขันกันเอง ก็ยิ่งทำให้บุคลากรถูกกระตุ้นให้ตั้งใจทำงานเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งในสนามหรือการทำงานนอกสนามแข่ง ตรงจุดนี้เหล่าผู้บริหาร อาจนำไปปรับใช้กับองค์กรของตนเองได้ไม่มากก็น้อยนะครับที่สำคัญมากที่สุดเลยก็คือการได้อยู่ในสภาพแวดล้อมด้วยคนเก่ง ๆ มีความสามารถ มันก็ทำให้เราได้พัฒนาศักยภาพ สามารถนำพาองค์กรไปสู่จุดหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพครับส่งท้ายด้วยเกร็ดน่ารู้ของ Ferrari กับสัญลักษณ์โลโก้ "ม้า" ที่มามาจาก Enzo เชื่อว่ามันคือความ "โชคดี" และมันยังเป็นสัญลักษณ์บนเครื่องบินรบของกองทัพอิตาลีในช่วงยุค 20s ด้วย มันจึงเป็นอะไรที่เหมาะเจาะมากกับการนำรูปม้ามาเป็นโลโก้ติดรถ ส่วนพื้นสีเหลืองหลังรูปม้ามาจากสีประจำเมือง Modena บ้านเกิดของ Ferrari และแถบด้านบนสีเขียว-ขาว-แดง คือสีธงชาติอิตาลีนั่นเองส่วนที่ว่าทำไม Ferrari ต้องเป็นสีแดง ก็เป็นเพราะว่าตอนที่เขาทำทีมแข่งให้กับ Alfa Romeo สีรถประจำทีมคือสีแดงนั่นเอง มีชื่ออิตาลีว่า Rosso Corsa หรือ Racing Red ในภาษาอังกฤษ ดังนั้นหากคุณมีเงินมากพอ การจะซื้อ Ferrari สีแดงเป็นอะไรที่คลาสสิก หรือเลือกสีอื่นก็ย่อมได้แต่มีข้อห้ามเพียงอย่างเดียวคือ "ไม่มีสีชมพู" เพราะ Ferrari เป็นสัญลักษณ์ของความดุดัน ดังนั้นจึงไม่มีสีหวาน ๆ อย่างสีชมพูให้เลือกนะครับ!!ที่มารูปภาพ: รูปภาพปก / รูปภาพ 1 / รูปภาพ 2 / รูปภาพ 3 / รูปภาพ 4 / รูปภาพ 5 / รูปภาพ 6