9 วิธีจัดการน้ำเสียและเศษอาหาร จากครัวบ้าน อย่างถูกสุขลักษณะ อ่านกันเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล หลายคนอาจคิดว่าน้ำเสียกับเศษอาหารจากครัว เป็นเพียงของเหลือที่เททิ้งไปแล้วก็หมดปัญหา แต่ความจริงแล้วนี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาสิ่งแวดล้อมภายในบ้านโดยตรงค่ะ เพราะน้ำเสียที่ปนเปื้อนคราบไขมัน เศษอาหาร หรือสารเคมีจากการล้างจาน หากปล่อยทิ้งโดยไม่จัดการ จะหมักหมมจนเกิดกลิ่นเหม็น อุดตันท่อ และกลายเป็นแหล่งของจุลินทรีย์ที่กระจายเข้าสู่บรรยากาศในบ้านได้โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้กระทบแค่เรื่องความสะอาด แต่ยังมีผลต่อสุขอนามัยของสมาชิกในครอบครัวโดยตรง ซึ่งสิ่งที่คนทั่วไปมักมองไม่ออกอีก คือ ปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเศษอาหารและน้ำเสียเล็กๆ น้อยๆ ในทุกวัน เศษผัก เศษเนื้อ หรือกระดูกที่ติดค้างตามท่อ แม้มองด้วยตาเปล่าอาจไม่เห็นผลทันที แต่เมื่อสะสมไปนานๆ จะเป็นต้นเหตุของกลิ่นรบกวน การดึงดูดแมลงสาบ หนู หรือแมลงวัน และยังอาจสร้างมลพิษทางน้ำเมื่อไหลออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอกค่ะ ครัวที่ดูเหมือนสะอาด จึงอาจกลายเป็นแหล่งปัญหาที่กระทบทั้งบ้านและชุมชนได้ หากขาดการตระหนักและการจัดการอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรกเริ่ม ดังนั้นความสำคัญที่เราต้องรู้แนวทางในการจัดการก็จำเป็นตามมาค่ะ และต่อไปนี้คือวิธีการในการจัดการนะคะ 1. แยกเศษอาหารออกจากน้ำเสีย หลายคนยังไม่รู้ว่า การแยกเศษอาหารออกจากน้ำเสีย เป็นวิธีง่ายที่สุดที่ช่วยให้ครัวบ้านสะอาดและถูกสุขลักษณะค่ะ เพราะถ้าหากปล่อยให้เศษผัก เปลือกผลไม้ หรือเศษเนื้อเล็กๆ ไหลลงไปพร้อมน้ำล้างจานบ่อยๆ จะเกิดการสะสมในท่อจนทำให้ท่ออุดตัน และมีกลิ่นเหม็นย้อนกลับขึ้นมาได้ ที่กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงพาหะชนิดต่างๆ ได้ ซึ่งการหันมาใช้ตะแกรงกรองเศษอาหารที่อ่างล้างจาน ก็เป็นทางออกที่ดีอีกทางหนึ่ง เพราะสามารถดักเศษได้ทันที และช่วยยืดอายุการใช้งานของท่อระบายน้ำในระยะยาวได้อีกด้วย เมื่อแยกเศษอาหารออกมาแล้ว เรายังสามารถนำไปจัดการต่อได้หลายวิธี เช่น ใส่ถังขยะที่ปิดสนิทเพื่อลดกลิ่น หรือเปลี่ยนให้เกิดประโยชน์ด้วยการทำปุ๋ยหมักสำหรับต้นไม้ในบ้าน ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยลดการปล่อยสารอินทรีย์ลงแหล่งน้ำ ซึ่งหากมีปริมาณมากจะทำให้คุณภาพน้ำเสื่อมโทรมและกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนะคะ ดังนั้นการสร้างวินัยในการแยกเศษอาหาร จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสะอาดในครัวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการดูแลสุขอนามัยครอบครัวและช่วยสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกันค่ะ 2. แยกเศษอาหารที่เสี่ยง เช่น กระดูกหรือเปลือกแข็ง รู้ไหมคะว่า เศษอาหารบางประเภท เช่น กระดูก เปลือกหอย หรือก้างปลา เราไม่ควรทิ้งรวมกับเศษผักผลไม้หรือเศษอาหารทั่วไป เพราะสิ่งเหล่านี้ย่อยสลายได้ยากและมักเป็นสาเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่แรง หากนำไปหมักปุ๋ยก็จะทำให้กระบวนการเน่าเสียช้าลง และเกิดกลิ่นรุนแรงจนยากต่อการจัดการ อีกทั้งยังอาจทำให้ถังหมักเสียหายได้ง่าย ซึ่งการแยกเศษอาหารประเภทนี้ สามารถช่วยลดปัญหาในระยะยาวได้ และทำให้การจัดการขยะในครัวสะดวกมากขึ้นค่ะ สำหรับการเก็บเศษอาหารที่ย่อยสลายยาก เราควรใส่ถุงหรือภาชนะปิดสนิท แล้วนำไปทิ้งตามระบบจัดเก็บขยะทั่วไป ไม่ควรปล่อยไว้ในครัวหรือใส่รวมกับขยะอินทรีย์ เพราะจะดึงดูดแมลงวันและสัตว์พาหะได้ ที่โดยสรุปแล้วการแยกตั้งแต่ต้นทางไม่เพียงช่วยให้ครัวสะอาดและลดกลิ่น แต่ยังทำให้การรีไซเคิลหรือการทำปุ๋ยหมักจากเศษผักผลไม้มีคุณภาพมากขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็นการจัดการที่เล็กน้อย แต่ได้ผลจริงทั้งต่อสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมค่ะ 3. เก็บเศษอาหารใส่ถังปิดสนิท การเก็บเศษอาหารลงในถังที่มีฝาปิดมิดชิด ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขลักษณะในครัวบ้านค่ะ เพราะเศษอาหารที่ทิ้งไว้ในถุงเปิดหรือภาชนะที่ไม่ปิดสนิท มักจะส่งกลิ่นเหม็นรบกวน และยังดึงดูดแมลงวัน หนู และแมลงสาบ ซึ่งเป็นพาหะของความเจ็บป่วยที่มาสู่คนได้ แต่ถังขยะที่ปิดสนิทจะช่วยควบคุมกลิ่น ลดการแพร่กระจายของสัตว์และแมลงพาหะ และทำให้บรรยากาศในครัวสะอาดน่าใช้อยู่เสมอค่ะ นอกจากนี้การเลือกถังขยะที่มีฝาปิดแบบแน่นหนาและง่ายต่อการเปิด–ปิด ยังช่วยให้การทิ้งเศษอาหารเป็นเรื่องสะดวกมากขึ้น โดยเราควรหมั่นนำเศษอาหารออกไปทิ้งนอกบ้านทุกวัน ไม่ปล่อยทิ้งไว้นานจนเกิดการหมักหมม เพราะจะทำให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสิ่งก่อความเจ็บป่วยที่ยากควบคุม ด้งนั้นการจัดการอย่างเป็นระบบเช่นนี้ นอกจากจะป้องกันกลิ่นและสัตว์พาหะแล้ว ยังช่วยเสริมสุขอนามัยของครัวเรือน และลดปัญหาขยะสะสมในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ 4. แยกน้ำมันเก่าออกจากน้ำล้าง หลายคนอาจไม่สังเกตว่า การทิ้งน้ำมันเก่าลงท่อเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในครัวเรือน แต่แท้จริงแล้วนี่เป็นสาเหตุใหญ่ของปัญหาท่ออุดตันและกลิ่นเหม็นสะสมค่ะ เพราะน้ำมันเมื่อเย็นตัวลงจะจับตัวเป็นไขและเกาะตามผนังท่อ ทำให้การไหลของน้ำเสียติดขัด และเกิดการหมักหมมที่ยากต่อการแก้ไข ซึ่งวิธีที่ถูกต้องคือการแยกน้ำมันออกจากน้ำล้าง โดยรวบรวมใส่ขวดพลาสติกหรือภาชนะปิดสนิท เพื่อนำไปทิ้งในจุดรับรวมหรือใช้ประโยชน์ต่อ เช่น ทำเชื้อเพลิงชีวภาพหรือสบู่เหลว และนอกจากป้องกันท่ออุดตันในครัวแล้ว การไม่ทิ้งน้ำมันเก่าลงท่อยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะว่าน้ำมันที่ปนเปื้อนลงแหล่งน้ำ จะทำให้คุณภาพน้ำเสียหาย ปล่อยกลิ่นเหม็นและทำลายระบบนิเวศในแม่น้ำลำคลอง ซึ่งการจัดการที่ถูกต้องตั้งแต่ครัวเรือน จึงเป็นวิธีที่ง่ายและสำคัญ ทั้งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม และยังเป็นการมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัว ครอบครัวที่ทำเป็นนิสัยก็จะได้ทั้งครัวที่สะอาดและโลกที่น่าอยู่ขึ้นพร้อมๆ กันค่ะ 5. ใช้เศษอาหารทำปุ๋ยหมัก การนำเศษอาหาร เช่น เศษผัก เปลือกผลไม้ หรือข้าวที่เหลือ มาทำปุ๋ยหมัก ถือเป็นวิธีการจัดการขยะอินทรีย์ที่มีประโยชน์และยั่งยืนอีกแนวทางหนึ่ง เพราะนอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะในครัวเรือนแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เหลือทิ้งให้กลายเป็นทรัพยากรใหม่ที่ใช้บำรุงต้นไม้ได้ ซึ่งวิธีทำก็ไม่ซับซ้อนค่ะ เพียงแยกเศษอาหารออกจากขยะทั่วไป แล้วใส่ลงถังหมัก เติมดินหรือจุลินทรีย์เร่งการย่อยสลาย แล้วปิดฝาให้เหมาะสม เพื่อลดกลิ่นรบกวนและควบคุมแมลงไม่ให้รบกวน ซึ่งผลลัพธ์จากการทำปุ๋ยหมักที่จะได้ คือ ได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพ ที่สามารถใช้ปรับปรุงดินให้ร่วนซุยได้ เพิ่มธาตุอาหารในดิน และลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพง อีกทั้งยังช่วยให้ครัวบ้านสะอาดขึ้น เพราะเศษอาหารที่เคยเป็นปัญหากลายเป็นสิ่งที่มีค่าในระบบนิเวศ ซึ่งการจัดการเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการดูแลบ้านและสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการปลูกฝังนิสัยการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ที่จะส่งผลดีต่อทั้งครอบครัวและชุมชนรอบข้างในระยะยาวค่ะ 6. รวบรวมน้ำซาวข้าวหรือน้ำล้างผักมาใช้ซ้ำ คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า น้ำซาวข้าวและน้ำล้างผักเป็นของเหลือจากการเตรียมอาหารที่หลายบ้านมักเททิ้งทันที แต่แท้จริงแล้วน้ำเหล่านี้ยังมีคุณค่ามาก เช่น น้ำซาวข้าวมีธาตุอาหารที่ช่วยบำรุงต้นไม้ได้เป็นอย่างดี ส่วนผักที่ล้างแล้วก็ยังมีธาตุอาหารหลงเหลือซึ่งใช้ประโยชน์ได้ การรวบรวมมาใช้ซ้ำ เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างพื้น หรือล้างภาชนะที่ไม่ต้องการความสะอาดมาก มีส่วนช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำ และลดปริมาณน้ำเสียที่ถูกปล่อยออกจากครัวเรือนได้โดยตรงค่ะ ซึ่งการนำของเหลือเหล่านี้กลับมาใช้ซ้ำ ไม่เพียงช่วยประหยัดทรัพยากรเท่านั้น แต่ยังเป็นการใช้ชีวิตอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพราะแทนที่จะปล่อยให้น้ำที่ยังมีประโยชน์ไหลทิ้งไป กลับถูกหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้อีกชั้นหนึ่ง วิธีนี้ยังทำให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการลดมลพิษทางน้ำที่เกิดจากครัวเรือนในทุกๆ วัน ที่สำคัญคือสามารถทำได้ง่าย ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม แค่เพียงปรับพฤติกรรมเล็กน้อยก็สร้างผลดีได้ทั้งบ้านและธรรมชาติรอบตัวเราแล้วค่ะ 7. ทำความสะอาดท่อระบายน้ำเป็นประจำ หลายครั้งท่อระบายน้ำในครัวเป็นจุดที่มักถูกมองข้าม แต่จริงๆ แล้วเป็นแหล่งสะสมของคราบไขมัน เศษอาหารเล็กๆ และสิ่งสกปรกต่างๆ หากไม่ทำความสะอาดเป็นประจำ จะเกิดการหมักหมมจนท่ออุดตันและส่งกลิ่นเหม็นรบกวนได้ง่ายค่ะ ซึ่งวิธีง่ายๆ ที่ควรทำ คือ การเทน้ำร้อนลงท่ออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อช่วยละลายคราบไขมัน และหากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพก็สามารถใช้น้ำส้มสายชูผสมเบกกิ้งโซดา มาช่วยขจัดคราบได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อท่อ การทำความสะอาดท่อระบายน้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงช่วยป้องกันกลิ่นและการอุดตัน แต่ยังเป็นการดูแลสุขาภิบาลในครัวโดยรวม เพราะท่อที่สะอาดหมายถึงไม่มีสิ่งหมักหมมที่เป็นแหล่งเพาะของสิ่งที่คุกคามคนเราได้ ซึ่งการสร้างวินัยเล็กๆ เช่นนี้ มีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการซ่อมแซมที่ไม่จำเป็น และทำให้ครัวน่าใช้อยู่เสมอ อีกทั้งเป็นการดูแลเชิงป้องกัน จึงดีกว่ารอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยมาแก้ไขค่ะ 8. ใช้ถุงย่อยสลายได้แทนถุงพลาสติก การใส่เศษอาหารลงในถุงพลาสติกทั่วไป เป็นการเพิ่มปริมาณขยะที่ย่อยสลายยาก และก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมาอย่างยาวนานค่ะ แต่การเปลี่ยนมาใช้ถุงย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัยและเหมาะสมกว่ามาก เพราะถุงชนิดนี้สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ลดการตกค้างและไม่สร้างมลพิษสะสมในสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเลือกถุงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น แป้งข้าวโพด หรือเส้นใยพืช จึงเป็นการช่วยให้การจัดการเศษอาหารเป็นมิตรกับโลกมากขึ้นนะคะ ที่นอกจากจะช่วยสิ่งแวดล้อมแล้ว การใช้ถุงย่อยสลายได้ยังทำให้การกำจัดเศษอาหารมีความสะดวกและถูกสุขลักษณะ เพราะสามารถทิ้งรวมไปกับขยะอินทรีย์ได้เลยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการแยกขยะซ้ำซ้อน อีกทั้งยังลดปัญหากลิ่นหมักหมมเมื่อทิ้งไว้นาน หากทุกครัวเรือนหันมาใช้วิธีนี้ร่วมกัน จะเป็นการสร้างวัฒนธรรมการจัดการขยะที่ดี และช่วยลดภาระระบบกำจัดขยะของชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรมค่ะ 9. วางแผนลดเศษอาหารตั้งแต่ต้นทาง การลดปริมาณเศษอาหารที่ดีที่สุด ต้องเริ่มจากพฤติกรรมการวางแผนในครัวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเมนูประจำวัน การตรวจสอบของที่มีอยู่ในตู้เย็นก่อนซื้อของเพิ่ม และการเลือกซื้อวัตถุดิบในปริมาณที่พอเหมาะต่อการบริโภค วิธีนี้ช่วยให้เราไม่ซื้อเกินความจำเป็น และลดการเหลือทิ้งโดยไม่ต้องจัดการซ้ำซ้อนภายหลังได้นะคะ ซึ่งการใส่ใจสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในการวางแผน จึงช่วยลดภาระทั้งขยะ น้ำเสีย และค่าใช้จ่ายไปพร้อมกันได้ เมื่อเศษอาหารที่เหลือมีปริมาณน้อยลง ครอบครัวก็จะจัดการได้ง่ายขึ้นและรักษาความสะอาดของครัวได้ดีกว่าเดิม การเก็บรักษาอาหารให้ถูกวิธี เช่น การใช้กล่องสุญญากาศหรือแช่แข็งอาหารที่ยังไม่ใช้ทันที ก็เป็นส่วนหนึ่งของการลดการเน่าเสียอย่างได้ผล การคิดเผื่อก่อนลงมือซื้อหรือปรุงอาหาร คือ หัวใจสำคัญของการจัดการอย่างยั่งยืน และเป็นวิธีที่ไม่เพียงช่วยบ้านของเรา แต่ยังลดปัญหาขยะในชุมชนและสิ่งแวดล้อมโดยรอบได้อีกด้วยค่ะ ก็จบแล้วค่ะ โดยจะเห็นได้ว่าการจัดการน้ำเสียและเศษอาหาร ไม่ใช่เพียงเรื่องเล็ก ๆ ภายในครัวบ้าน แต่เป็นพื้นฐานของสุขาภิบาลที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมโดยตรง หากละเลยปัญหาเล็กน้อย เช่น ท่ออุดตัน กลิ่นเหม็น หรือแมลงพาหะ สิ่งก่อความเจ็บป่วยก็สามารถแพร่เข้าสู่บ้านและชุมชนได้โดยง่าย ซึ่งการใส่ใจตั้งแต่ต้นทางด้วยการแยกเศษอาหาร เก็บในถังที่ปิดสนิท และไม่ทิ้งน้ำมันเก่าลงท่อ จึงเป็นเกราะป้องกันสุขอนามัยที่ทุกบ้านสามารถทำได้ทันทีค่ะ และสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าการลงมือทำ คือ การสร้างความตระหนักว่า การจัดการเศษอาหารและน้ำเสีย ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันในสังคม การใช้ถุงย่อยสลายได้ การทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร หรือนำของเหลือ เช่น น้ำซาวข้าวมาใช้ซ้ำ ก็เป็นตัวอย่างเล็กๆ ของการมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เคยถูกมองว่าไร้ค่า เมื่อพฤติกรรมเหล่านี้ถูกทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง ก็จะกลายเป็นนิสัยที่ดี และเป็นการยกระดับมาตรฐานสุขาภิบาลในครัวเรือนของเราคนไทยทุกคนได้ค่ะ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วการจัดการเศษอาหารและน้ำเสียจะยั่งยืนได้ ก็ต่อเมื่อทุกคนร่วมด้วยช่วยกัน หากแต่ละครอบครัวลดเศษอาหารตั้งแต่ต้นทางและจัดการอย่างถูกวิธี ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ใช่แค่บ้านที่สะอาดขึ้น แต่ยังเป็นการช่วยชุมชนและสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่มากขึ้นด้วย โดยการลงมือทำเพียงเล็กน้อยจากแต่ละบ้าน เมื่อรวมพลังกัน จะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ต่อสังคมและโลกใบนี้นะคะ ที่พอพูดถึงเรื่องนี้ทีไร ต้องบอกว่าผู้เขียนจัดการทั้งน้ำเสียและขยะที่เป็นเศษอาหารอย่างสม่ำเสมอค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดรางระบายน้ำเสีย การซ่อมแซมรางหากพบว่าเป็นท้องช้าง นำเศษอาหารไปหมักทำปุ๋ย โดยตอนนี้หลักๆ ที่นี่นำไปเทกองหมักที่สวน กับเทเศษอาหารลงในถังหมักปุ๋ยใต้ดินหน้าบ้านค่ะ สำหรับการซื้อของแบบวางแผนล่วงหน้า การจัดการอาหารไม่ให้เหลือทิ้ง ที่นี่ก็ร่วมลงมือทำด้วยเหมือนกันค่ะ โดยในส่วนของน้ำเสียนั้น นอกจากในบางครั้งผู้เขียนจะนำน้ำซาวข้าวมารดสวนผักหน้าบ้านแล้ว ยังได้ช่วยกันประหยัดน้ำ เพื่อลดปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นในแต่ละวันค่ะ ยังไงนั้นหากคนไทยเราทุกคนหันมาตระหนักมากขึ้น และหันมาเริ่มต้นช่วยกันจากต้นทาง นอกจากสุขอนามัยภายในบ้านจะดีแล้ว ยังถือว่ามีส่วนช่วยสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กันค่ะ เพราะสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราสามารถนำมาซึ่งปัญหาด้านสุขอนามัยได้ ดังนั้นการจัดการน้ำเสียและเศษอาหารภายในบ้าน ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอีกหัวข้อหนึ่งในชีวิตประจำวัน และเป็นประเด็นที่หลีกเลี่ยงได้ยากนะคะ ดังนั้นอย่าลืมนำแนวทางต่างๆ ข้างต้นไปทำตามกันค่ะ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป ถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดดูโปรไฟล์ได้เลยค่ะ #การจัดการน้ำเสียจากครัวเรือน #ขยะเปียก #FoodWaste_Thailand #WaterPollution เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย Spencer Plouzek จาก Unsplash และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล แนวทางปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบ้าน เพื่อส่งเสริมสุขอนามัยดี 8 แนวทางลดการเกิดน้ำเสีย จากบ้านเรือนและที่อยู่อาศัย 9 ทริคกินอย่างไรดี ช่วยโลกลดขยะอาหาร สร้างสิ่งแวดล้อมยั่งยืน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !