ความขัดแย้งของมนุษยชาติในโลก ความขัดแย้งเป็นสภาพของ ความตรงกันข้าม ความเห็นต่างกัน หรือการไม่ลงรอยกัน บางครั้งก่อให้เกิดความรุนแรงจนถึงกันทำร้ายร่างกายกัน ความขัดแย้งทางทหารระหว่างรัฐนำไปสู่การทำสงคราม หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยมูลเหตุความขัดแย้งมีทางด้านความคิดทางการกระทำ ทางการต่อสู้ การปะทะกันหรือการทำสงครามต่อกัน ในทางการเมืองคำว่า ความขัดแย้ง คือสภาพของความเป็นศัตรูกันที่ดำเนินไปเรื่อย ๆระหว่างกลุ่มคนสองกลุ่มขึ้นไป บางครั้งความขัดแย้งที่เกิดจากการหาข้อเสนอที่ดีกว่าในเรื่องความเห็นจึงเป็นการสร้างสรรค์ ถ้าเป็นความขัดแย้งที่นำไปสู่ความร่วมมือและการประสานประโยชน์ระหว่างกัน 1. ความขัดแย้งในสมัยโบราณ ความขัดแย้งในสมัยก่อนประวัติศาสตร์มักเกิดจากการแย่งชิงอาหารและที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ต่อมาเมื่อมีการสร้างหมู่บ้านขึ้นมา ดำรงชีวิตแบบใหม่มีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ต้องการอาหารมากยิ่งขึ้น กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่มากขึ้น ก็ตัวเป็นสังคมแบบเมืองและรัฐขึ้นมา ทำให้รูปแบบทางสังคมเปลี่ยนไป มีระบบการปกครองและมีผู้นำในระบบต่าง ๆ ทำให้มนุษย์เริ่มมีการแย่งชิงดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และทรัพยากร โดยเฉพาะคนที่จะเป็นรายงานและระบบเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อเป็นกำลังในการทำสงครามเพื่อความมั่งคั่ง รักเพื่อความยิ่งใหญ่ เช่น ความขัดแย้งระหว่างเปอร์เซียกับกรีซ การขยายอำนาจของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นต้น 2. ความขัดแย้งในสมัยใหม่ เมื่อสังคมแบบตะวันตกเข้าสู่สมัยใหม่ สาเหตุของความขัดแย้งมีหลากหลาย และมีความซับซ้อนของความขัดแย้งมากขึ้นแต่ยังคงมีความขัดแย้งที่ต่อเนื่องมาจากสมัยโบราณ คือการแย่งชิงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การสร้างความยิ่งใหญ่ทางการเมืองและความแตกต่างทางศาสนา 3. ความขัดแย้งในสมัยปัจจุบัน พ้นจากความเป็นมาทางประวัติศาสตร์อันยาวนานทั้งด้านการเมือง ศาสนา และเศรษฐกิจ มีผลต่อความขัดแย้งในด้านต่าง ๆ ที่สลับซับซ้อนขึ้นโดยในปัจจุบันมีทั้งความขัดแย้งทางด้านอุตสาหกรรมการเมือง เช่น การแบ่งแยกอำนาจทางการเมืองออกเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน หนังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นไข้ประชาธิปไตยที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำและค่าคอมมิชชั่นมีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ และส่งผลให้เกิดสงครามเย็นขึ้นในระหว่างค.ศ 1945 ถึง 1991 ขึ้น ขอบคุณภาพจาก pexels และ pixabay : ภาพปก / ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3