ทรัพยากรทางทะเลถูกทำลายไปเพียงไร เมื่อสหรัฐฯ ทดสอบความแกร่งของเรือด้วยระเบิดใต้น้ำ
ในคลิปเผยให้เห็นผิวน้ำทะเลกลายเป็นวงกลมสีขาวและเกิดระลอกคลื่นกระจายออกไป จากนั้นสายน้ำก็พวยพุ่งขึ้นกลางท้องฟ้าก่อนจะตกลงมา เมื่อแพนกล้องไปรอบ ๆ เห็นเรือรบขนาดมหึมาปรากฏอยู่จากระยะไกล
เมื่อ 18 มิ.ย. กองทัพเรือสหรัฐฯ ทดสอบความแข็งแกร่งของ ยูเอสเอส เจอรัลด์ ฟอร์ด เรือบรรทุกเครื่องบินที่ก้าวหน้าที่สุดและใหม่ที่สุดของสหรัฐฯ ว่าจะสามารถทนทานต่อแรงระเบิดที่เกิดขึ้นใกล้เคียงได้ดีเพียงไร
สหรัฐฯ ใช้วัตถุระเบิด 18 ตัน หรือประมาณสองเท่าของระเบิดที่เรียกว่า "แม่ของระเบิดทั้งมวล" (Mother of All Bombs--MOAB) ซึ่งเป็นอาวุธที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดในคลังอาวุธของสหรัฐฯ
แรงระเบิดที่เกิดขึ้นมีพลังสูงถึง 3.9 ตามหน่วยวัดแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวของหน่วยสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐฯ (US Geological Survey)
ภาพที่มีการส่งต่อกันอย่างแพร่หลายทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาในโซเชียลมีเดียในสัปดาห์นี้ ผู้คนพากันตั้งคำถามว่า "แรงระเบิดขนาดนั้นทำให้สิ่งมีชีวิตในทะเลที่อยู่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบอย่างไร"
รัศมีสังหาร
"ถ้าแรงระเบิดมีขนาดใหญ่พอที่จะทำลายเรือรบได้ มันก็คงจะทำให้สิ่งมีชีวิตในทะเลตายได้แน่นอน" เดวิด ชุกแมน บรรณาธิการข่าวสิ่งแวดล้อมของบีบีซี กล่าว "ชาวประมงใช้ไดนาไมต์ในการจับปลา เรารู้ว่า ระเบิดทำให้สิ่งมีชีวิตในทะเลตายได้ และระเบิดขนาดใหญ่จะทำให้สัตว์จำนวนมากในทะเลล้มตาย"
ไมเคิล แจสนี ผู้อำนวยการด้านคุ้มครองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลของสภาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources Defense Council) เห็นด้วย เขากล่าวกับบีบีซีว่า "สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กบางชนิดที่อยู่ภายในรัศมี 1-2 กิโลเมตรของแรงระเบิดน่าจะตาย และที่อยู่ภายในรัศมีราว 10 กิโลเมตร คาดว่าจะบาดเจ็บถาวร รวมถึงการสูญเสียการได้ยินเป็นการถาวร"
ความเสียหายต่อโสตประสาทส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลบางชนิด
"ใต้น้ำ คลื่นเสียงสามารถเดินทางได้ไกล และวาฬก็ใช้คลื่นเสียงในการสื่อสารกันเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์" ชุกแมนกล่าวเพิ่มเติม "ดังนั้นลองนึกดูว่า แรงกระแทกที่เกิดจากเสียงดังสนั่นของระเบิดจะส่งผลกระทบต่อต่อการได้ยินของพวกมันอย่างไร"
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลเป็นสัตว์ที่ดำน้ำเก่งอย่าง วาฬจงอย สามารถดำน้ำลึกลงไปใต้ผิวน้ำถึง 2,000 เมตร
ความสามารถในการมองเห็นใต้น้ำลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ 1 กิโลเมตรใต้ผิวน้ำ ก็มีแต่ความมืด
ที่ระดับความลึกขนาดนั้น วาฬต้องอาศัยเสียงในการนำทาง ซึ่งก็คือเหตุผลว่า ทำไมนักวิทยาศาสตร์บางส่วนบอกว่า วาฬที่หูหนวกเท่ากับวาฬที่ตายแล้ว
คลื่นกระแทก
การระเบิดใต้น้ำส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทกและพลังงานเสียงขึ้น มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในทะเลจำนวนมากที่มีหลักฐานว่าได้รับอันตรายจากการทดสอบ
โลมาอย่างน้อย 8 ตัว หูหนวกและตายในเดือน ส.ค. 2019 หลังจากมีการระเบิดในทะเลบอลติกเพื่อกำจัดกับระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
10 ปีที่แล้วในสกอตแลนด์ วาฬนำร่องครีบยาว 39 ตัว เกยตื้นที่อ่าวช่วงน้ำขึ้น แล้วตายไป 19 ตัว รายงานของรัฐบาลสหราชอาณาจักรพบว่า ปฏิบัติการกำจัดระเบิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านั้นทำให้เกิดโศกนาฏกรรมนี้ขึ้น มัน "เป็นเหตุภายนอกเพียงเหตุการณ์เดียวที่อาจเป็นสาเหตุ" ให้วาฬเกยตื้น
ในปี 2013 กองทัพเรือสหรัฐฯ ยอมรับเองว่า การฝึกซ้อมและการทดสอบอาจทำให้วาฬและโลมาหลายร้อยตัวตายลง และ อีกหลายพันตัวบาดเจ็บในช่วงเวลา 5 ปีนับจากนั้น ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการจุดชนวนระเบิดใต้น้ำ
ขนาดของสัตว์ มีผลต่อการรอดชีวิต
แม้เรามีตัวอย่างมากมายให้เห็นว่าสัตว์น้ำขนาดใหญ่หลายประเภทต้องจบชีวิตลง แต่เป็นเรื่องที่ยากกว่าในการคำนวณหาความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสัตว์น้ำที่ขนาดเล็กกว่า ซึ่งเราเชื่อว่าสัตว์พวกนี้ต้องพบกับความเสี่ยงมากกว่า
ปีเตอร์ วอร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงใต้น้ำ ศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของการระเบิดใต้น้ำและได้เขียนรายงานในเรื่องนี้เมื่อปี 2015
ในการศึกษาดังกล่าว เขาได้จำลองความเสียหายของการทำลายกับระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
"กับระเบิดทะเลโดยปกติจะมีวัตถุระเบิดหนัก 450-680 กิโลกรัม ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตได้ในระยะ 300-630 เมตร ระเบิดที่ขนาดใหญ่กว่านั้นก็จะยิ่งมีระยะที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตที่ไกลออกไปอีก"
แต่เขาตั้งข้อสังเกตว่า "ยิ่งสัตว์มีขนาดใหญ่ขึ้น ก็ยิ่งมีโอกาสในการรอดชีวิตจากแรงระเบิดมากขึ้น"