ORIจับตาไตรมาส4พีค ดีลพาร์ตเนอร์อัพยอด
ทันหุ้น - ORI อัพเป้ายอดโอนสิ้นปี 2564 ทะลุ 1.3 หมื่นล้านบาท เล็งเปิดตัว 9 โครงการใหม่ รับ LTV หนุนผลงานปี 2564-65 วางเป้ายอดขาย-รายได้ปี 2565 เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% แย้มเจรจาพาร์ตเนอร์รายใหญ่ต่างแดนหวังดึงเงินทุนทำ JV อสังหา เพิ่มกว่า 10 โปรเจ็กต์ในปีหน้าขยายพอร์ตแกร่ง
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2564 ใหม่ โดยคาดว่ายอดโอนสิ้นปี 2564 ทะลุ 13,800 ล้านบาท ในขณะที่รายได้รวมคาดว่าจะมากกว่า 15,000 ล้านบาท จากเดิมที่วางเป้าหมายไว้ที่ 12,800 ล้านบาท และ 14,000 ล้านบาท ตามลำดับ
โดยในไตรมาสสุดท้ายปี 2564 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 9 แห่ง มูลค่ารวมกว่า 6,295 ล้านบาท ทำให้แนวโน้มการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 เติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งคาดว่ายอดขาย (Presale) ในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ระดับ 8,000 ล้านบาท ช่วยหนุนให้ภาพรวมทั้งปีมียอด Presale อยู่ที่ระดับ 31,000 ล้านบาท ดีกว่าเป้าเดิม 29,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดขายในมือที่รอทยอยโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) อีกกว่า 34,359 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ในไตรมาส 4/2564 ประมาณ 3,000 ล้านบาท ที่เหลือจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567
รุกขยายฐานโต
และยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมโอน (Inventory) อีกกว่า 31,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโด 11,000 ล้านบาท และแนวราบอีก 20,000 ล้านบาท อีกทั้งจากการปลดล็อกมาตรการ LTV ทำให้คาดว่าจะเข้ามาช่วยสนับสนุนผลงานในช่วงปลายปี 2564 นี้ และคาดว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565 โดยสัดส่วนลูกค้ากว่า 30-40% เป็นกลุ่มที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 และ 3 ส่วนการเปิดประเทศนั้น มองส่งผลบวกให้ลูกค้าต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนอสังหาได้มากขึ้น คาดกว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่กลางปีหน้าเป็นต้นไป โดยคาดว่ากลุ่มที่จะเริ่มเข้ามาคือ ฮ่องกง และสิงคโปร์ ส่วนจีนที่เป็นทุนใหญ่อาจเห็นการกลับมาปลายปี อย่างไรก็ดีคาดยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นราว 10%
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตใน 3 ปี จากนี้ (2565-2567) รายได้รวมจะอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 17,500 ล้านบาท, 20,000 ล้านบาท และ 23,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดโอนจะอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท, 17,000 ล้านบาท และ 19,000 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับยอด Transfer ของโครงการร่วมทุน (JV) อาจอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 11,000 ล้านบาทต่อไป เป็นต้น พร้อมทั้งจะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิไว้ที่เฉลี่ยระดับ 36-37% และ 23-26% อย่างไรก็ดี ในปี 2565 คาดว่ายอดขายและรายได้ จะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% และการเปิดตัวโครงการใหม่จะเติบโตไม่น้อยกว่า 30% หรือคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 26,000 ล้านบาท จากปี 2564 ที่เปิดตัว 18 โครงการ มูลค่ารวม 17,725 ล้านบาท
อสังหาครบวงจร
สำหรับการลงทุนในปี 2565 นั้น บริษัทยังคงมองหาการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับหลายราย มีทั้งประเทศญี่ปุ่นและฮ่องกง เพื่อทำ JV ร่วมกันเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน มิกซ์ยูส บ้านจัดสรร และโรงแรม เบื้องต้นวางเป้าหมายจะมีโครงการ JV ใหม่ๆ ไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ
ส่วนธุรกิจ Wellness ในปีหน้าจะได้เห็นการลงทุนในเรื่องของเฮลธ์แคร์ เข้ามาเพิ่ม จากปัจจุบันที่มี Medical Supplies เข้ามาช่วยซัพพอร์ต ซึ่งจากการลงทุนกิจการร่วมทุน (JV) ในบริษัท Thai Leaf โดยมุ่งเป้าหมายปลูกและสกัดน้ำมันกัญชง ทำ Pharmaceutical Grade เพื่อผลิตภัณฑ์ทั้งสกินแคร์ เครื่องดื่ม ยา โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 2/2565
ด้านธุรกิจโลจิสติกส์เซ็นเตอร์ บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ตั้งบริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด หรือ ALPHA ซึ่งลูกค้าตอบรับเป็นอย่างดีทำให้คาดว่าสิ้นปีจะปิดได้ 150,000 ตารางเมตร ขณะที่การออกโทเคนหรือ Digital Access ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมงานให้สามารถพร้อมใช้ กับกลุ่มสินค้าและบริการอื่นๆ ในกลุ่ม เช่น การออกโทเคนให้กลุ่มลูกค้าซื้อบ้าน เพื่อสามารถนำไปใช้การตกแต่งบ้านเพิ่มเติม เป็นต้น โดยคาดว่าจะสามารถเปิดใช้ได้ในช่วงมกราคม 2565 เป็นต้นไป