รีเซต

ตลาดรถใหม่ ในประเทศไทย หืดขึ้นคอ

ตลาดรถใหม่ ในประเทศไทย หืดขึ้นคอ
062528XXXX
10 กรกฎาคม 2563 ( 13:57 )
1.4K
2
ตลาดรถใหม่ ในประเทศไทย หืดขึ้นคอ

กระแสการเปิดตัวรถใหม่ปี2020 กลับมาดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อเจ้าตลาดอย่างโตโยต้า ประกาศเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ โตโยต้าโคโรลาครอส (Toyota Corolla Cross) เมื่อวันที่ 9 ก.ค. รถรุ่นนี้เครื่องยนต์ 2 ชนิด คือ เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ในรุ่น Sport ราคาถูกที่สุดที่ 9.89 แสนบาท และรุ่น Hybrid

 

 

 

 

1.8 ลิตร มี 3 รุ่นย่อย ในราคาเปิดตัวรุ่น Hybrid Premium Safety (ท็อปสุด) ราคา 1,199,000 บาท, รุ่น Hybrid Premium ราคา 1,089,000 บาท และรุ่น Hybrid Smart ราคา 1,019,000 บาท   



 

ผู้บริหารของโตโยต้า นายมิจิโนบุ ซึงาตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองรถรุ่นนี้ไว้ว่า โตโยต้าโคโรลาครอส ใหม่ จะเน้นความโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว แข็งแกร่ง แต่ก็ยังสะท้อนความหรูหราผ่านเส้นสายตัวรถ เป็นการเปิดตัวลงตลาดในไทย เป็นครั้งแรกของโลก มาพร้อมกับแนวคิด “A New Journey…ให้ชีวิตเดินทาง”



Toyota Corolla Cross อยู่ในกลุ่มรถ SUV ในราคาประมาณล้านต้นๆ เช่นเดียวกับ Toyota C-HR / Nissan Kicks / Honda HR-V / MG HS / Mazda CX-30 สำหรับ Toyot Corolla Cross เป็นรถยนต์ที่มีราคาประมาณ 1.1 ล้านบาท โดยที่ MG HS ยังเป็นรถที่มีตัวถังใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้

 

 

 

อย่างไรก็ดี เมื่อย้อนไปถึงการแถลงเป้าหมายยอดขายรถยนต์ในปี 2563 ที่ นายมิจิโนบุ ซึงาตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) เปิดเผยไว้เมื่อต้นปีว่า ยอดขายรถยนต์เฉพาะในประเทศไทยเมื่อปี 2562 ทะลุล้านคัน คาดการณ์ปี 2563 หดตัวเหลือ 940,000 คัน ส่วนเป้ายอดขายของโตโยต้าในปีนี้เหลือ 310,000 คัน ลดลงประมาณ 7% เหตุจากปัจจัยลบมากมาย (ซึ่งข้อมูลนี้เปิดเผยก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด19)



ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานบทวิเคราะห์วิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อผลกระทบอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย โดยระบุว่า ได้ประเมินไว้เบื้องต้นจากมุมมองต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันว่ามีความเป็นไปได้ที่ปริมาณการผลิตรถยนต์ในปี 2563 นี้อาจหดตัวลงอย่างมากประมาณร้อยละ 21 ถึง 25 หรือผลิตรถยนต์ได้เพียง 1,520,000 ถึง 1,590,000 คัน โดยการผลิตที่ลดลงนี้คาดว่าเป็นผลมาจากการส่งออกที่อาจลดต่ำลงมากไปแตะระดับ 750,000 ถึง 780,000 คัน หดตัวสูงถึงร้อยละ  26 ถึง 29 จากที่เคยส่งออกได้ 1,054,103 คัน ในปี 2562 



ขณะที่ยอดขายในประเทศก็มีความเสี่ยงที่จะลดลงไปแตะระดับ 800,000 ถึง 820,000 คัน หรือหดตัวร้อยละ 19 ถึง 21 จากปีก่อนที่ทำได้1,007,552 คัน ส่วนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์สู่ภาวะปกติอีกครั้งคาดว่าอาจเป็นช่วงกลางปี 2564 ถึงหรือต้นปี 2565 หลังเศรษฐกิจโลกจะทยอยฟื้นฟูในช่วงปี 2564  

 

แม้สถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่สู้ดีนัก แต่ก็พบว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 ค่ายรถยนต์หลายค่ายทยอยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง 

 

  • ซูซูกิ เปิดตัวไปแล้ว รุ่น XL7 โดยนำ Ertiga มายกสูง 
  • ค่ายนิสสัน เปิดตัว Nissan Kicks ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แต่มีเครื่องยนต์ปั่นไฟสร้างกำลัง 
  • Honda CR-V เตรียมปรับ Minorchange และอาจได้เห็น CRV Hybrid
  • ส่วนรถเก๋งขนาดเล็กอาจได้เห็น Honda City Hatchback , Toyota Yaris Facelift 2 ออกมาในปลายปีนี้
  • สำหรับสิงห์ปิกอัพ จะได้ยลโฉม all new mazda bt-50 , Nissan Navara Minorchange ที่จะมาพร้อมกับ Terra เช่นกัน 



ส่วนฟากฝั่งความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV มีความเคลื่อนไหวล่าสุดจาก อีลอน มัสค์ ผู้บริหารสูงสุดของเทศลา อิงค์ บอกว่า เทสล่าใกล้ที่จะประสบความสำเร็จในเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับ 5 แล้ว ซึ่งไม่ต้องใช้คนขับอีกต่อไป โดยตอนนี้มูลค่าของบริษัทเทสล่าได้แซงหน้าโตโยต้า มอเตอร์ส หลังจากหุ้นของเทสลาพุ่งสูงเป็นประวัติการ ขณะที่ยอดขายของของเทสลาโมเดล 3 ของเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขายได้เกือบ 15,000 คัน ทำให้เห็นกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก 

 

 

ด้านความเคลื่อนไหวในประเทศจีน ล่าสุดสำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ในเขตไห่เตี้ยนของกรุงปักกิ่ง รัฐบาลท้องถิ่นได้ประกาศให้ใช้เส้นทางบนถนนเพิ่มอีก 52 สาย ความยาวกว่า 215.3 กิโลเมตร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทดสอบการขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติ ทั้งนี้ ในปี 2019 ปักกิ่งจัดเตรียมถนนเพื่อใช้ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับนี้ไปแล้ว 151 สาย ระยะทาง 503.8 กิโลเมตร ซึ่งแผนงานของรัฐบาลปักกิ่งนั้นจะครอบคลุมพื้นที่ไปถึง 500 ตารางกิโลเมตร หรือมีความยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร 

 

สำหรับประเทศไทย กระแสการตื่นตัวรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง มีการนำรถยนต์ไฟฟ้า ev มาจัดจำหน่าย หลายรุ่นด้วยกัน อาทิ 



  1. FOMM ONE รถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดจิ๋ว เล็กกระทัดรัด ชาร์จในระบบไฟฟ้าภายในบ้านเพียง 6 – 8 ชั่วโมง วิ่งได้ไกลถึง 160 กิโลเมตร วิ่งได้เร็วสูงสุด 80 กม./ชม. ราคา 664,000บาท จุดเด่นสำหรับ fomm ลอยน้ำได้ และมีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ร่วมส่งเสริมการขายอีกด้วย 

 

 



  1. MG ZS EV โดดเด่นด้วยราคาที่ไม่แรง ค่าตัว 1,190,000 บาท ให้ระยะทางขับเคลื่อนสูงสุด 337 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC หรือมาตรฐานการทดสอบความประหยัดน้ำมันและมลพิษของยุโรป)




  1. BYD E6

  “Build Your Dream” หรือ BYD รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน วิ่งบริการเป็น TAXI VIP สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ทางตัวแทนจำหน่ายเปิดขายให้ผู้สนใจในราคา 1.89 ล้านบาท สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดประมาณ 300 กิโลเมตร/การชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้งใช้ระยะเวลาในการชาร์จแบบ VTOG 40kW ที่ประมาณ 2 ชั่วโมง และแบบปกติที่ประมาณ 8-9 ชั่วโมง

 



 

  1. Nissan Leaf

  ที่จำหน่ายในปัจจุบันนี้ เป็นนิสสันลีฟ เจนเอนเรชั่นที่ 2 เวอร์ชั่นนำเข้า ราคา 1.99 ล้านบาท รถยนต์ไฟฟ้า นิสสันลีฟ ได้รับความนิยมของคนทั่วโลก สามารถทำยอดขายได้รวมกว่า 40,000 คัน ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า AC SYNCHRONOUS ขนาด 150 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุขนาด 40 กิโลวัตต์ชั่วโมงสามารถขับเคลื่อนไปได้ไกลสูงสุด 311 กิโลเมตร/การชาร์จ 1 ครั้ง 

 

 

 

  1. Hyundai Ioniq Electric

  Hyundai Ioniq Electric รถยนต์ไฟฟ้าจากเกาหลี ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 120 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 295 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion Polymer (LiPo) ความจุ 28 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 9.9 วินาที (โหมด Sport) และ 10.2 วินาที (โหมดปกติ) ทำความเร็วสูงสุดได้ 165 กม./ชม. สามารถเคลื่อนที่ได้เป็นระยะทาง 280 กม. ต่อการชาร์จเต็มแต่ละครั้งตามมาตรฐาน NEDC ราคาอย่างเป็นทางการ (นำเข้า CBU) 1,749,000 บาท อาจจะไม่ค่อยพบในประเทศไทยมากนัก เนื่องจากการทำตลาดอาจยังไม่ได้เน้น ทั้งที่รถตู้ H1 ของค่ายนี้ขายดิบขายดีอย่างมาก

 

     

 

  1. Kia Soul EV 

  รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ครอสโอเวอร์ทรง กล่อง 5 ที่นั่ง อาจจะไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาเท่าไรนัก เพราะ Kia Soul รุ่นปกติมีวิ่งกันน้อยมาก อีกทั้งราคานำเข้า 2,387,000 บาท เลยอาจมีจำนวนบนถนนไม่มากเท่าไร เสียบปลั๊กชาร์จไฟให้ระยะทางวิ่งสูงสุดที่ทำได้ 452 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) Top Speed ความเร็วสูงสุด 167 km/h อัตราเร่ง 0-100 km/h : 7.9 วินาที

 

 

  1. Audi e-tron

  Audi e-tron ในประเทศไทย จะเป็นรุ่น Audi e-tron 55 quattro นำเข้าโดยออดี้ประเทศไทย 5,099,000 บาท ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้ง 2 ตำแหน่งที่ด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งส่งกำลังไปยังล้อโดยตรงมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 360 แรงม้า แรงบิด 561 นิวตันเมตร และเพิ่มขึ้นเป็น 408 แรงม้า แรงบิด 664 นิวตันเมตร ทำให้มั่นใจในสมรรถนะที่จะตอบสนองการใช้งาน และเติมอารมณ์สปอร์ตได้อย่างเต็มที่ พร้อมความจุแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงแบบ ลิเธียมไออน 95 kWh ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 6.6 วินาที และ 5.7 วินาทีในบูสต์โหมด และทำความเร็วสูงสุดได้ 200 กม./ชม. จุดเด่นของ e-tron อีกอย่างคือชาร์จไฟ 1 ครั้ง เดินทางได้ไกลถึง 417 กม.  



 

  1. รถยนต์ไฟฟ้า Jaguar I-PACE

  ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ (2 ตัวแยกด้านหน้ากับด้านหลัง)พร้อมขนาดแบตเตอรี่ Lithium-ion ชนิด Pouch cells ที่มีน้ำหนักเบาและใช้พื้นที่ในการจัดเก็บน้อย มีความจุ 90kWh ให้กำลังรวม 400 แรงม้า แรงบิด 696 นิวตันเมตร วิ่งได้ไกลสูงสุด 470 กิโลเมตร/การชาร์จ 1 ครั้ง ทำความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเร่งความเร็ว 0-100 ได้ใน 4.8 วินาที พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

 

 

สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-80 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลาเพียง 20-40 นาที ผ่านเครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสตรง DC (Quick charge) หรือ ภายในเวลาประมาณ 10 ชั่วโมง ด้วยเครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสสลับ AC (Home wall box) นำเข้ามาประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น คือ    

JAGUAR I-PACE ELECTRIC AWD S ราคาจำหน่าย 5,499,000 บาท

JAGUAR I-PACE ELECTRIC AWD SE ราคาจำหน่าย 6,299,000 บาท

JAGUAR I-PACE ELECTRIC AWD HSE ราคาจำหน่าย 6,999,000 บาท

 

 

  1. รถยนต์ไฟฟ้า Porsche Taycan

  เป็นซูเปอร์คาร์สุดหรูที่เป็นรถไฟฟ้าคันแรกจากค่ายปอร์เช่ มี 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วย ปอร์เช่ ไทคานน์ เทอร์โบ เอส (Porsche Taycan Turbo S) ราคาเริ่มต้น  11,700,000 บาท , ปอร์เช่ ไทคานน์ เทอร์โบ (Porsche Taycan Turbo) ราคาเริ่มต้น  9,900,000 บาท และ ปอร์เช่ ไทคานน์ (Porsche Taycan S)  ราคาเริ่มต้น  7,100,000 บาท ความแรงของรถจะต่างกันที่พละกำลังของมอเตอร์ ระยะทางเดินทางได้สูงสุดด้วยระยะทางกว่า 450 กิโลเมตร (ทดสอบตามมาตรฐาน WLTP) รถสปอร์ตพลังไฟฟ้าขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel-drive สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 


 

นอกจากนี้ ในอนาคตต้องเกาะติดการเข้ามาทำตลาดของ “TESLA” หลังจาก โมเดล 3 ที่เริ่มผลิตในจีน โดยเทสล่าเปิดราคา "TESLA 3" รุ่นปี 2020 ประกอบจีน เพียงแค่ 1.5 ล้านบาท แม้ราคาในไทยยังทะลุกว่า 3 ล้านบาท แต่หากกระแสความนิยมเริ่มเกิดขึ้น อาจจะกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ ที่เข้ามาทำให้อุตสาหกรรมยานต์เดิมได้เติบโตขึ้นมาอีกครั้ง.

 

 

ข้อมูลประกอบ 

https://www.ridebuster.com/2nd-half-new-car-thailand/

https://mgronline.com/motoring/detail/9630000020742

https://www.autospinn.com/2020/01/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F-%E0%B8%B2-ev-76408

http://www.evat.or.th/15743807/evat-tech-forum

https://kasikornresearch.com/th/analysis/k-econ/business/Pages/z3107.aspx

https://www.prachachat.net/motoring/news-488477




    

 



ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม