เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีด้วยกันมากมายหลายชนิด เช่น เหล้า ไวน์ วิสกี้ วอดก้า แต่เครื่องดื่มมึนเมาทั่วไปที่คนส่วนใหญ่รู้จักและนิยมกันนั้นคงหนีไม่พ้น "เบียร์" เครื่องดื่มสีเหลืองหรือแดงที่วนเวียนอยู่ในชีวิตของผู้คนมากมาย เบียร์เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่ที่สุด ในบันทึกประวัติศาสตร์ของเมโสโปเตเมียและอียิปต์โบราณนักโบราณคดีคาดว่าเบียร์ได้ถูกสร้างตั้งแต่ตอนนั้นและต่อมา 4500 ปีก่อนคริสตกาลคนงานในเมืองอูรุกยังได้รับเบียร์เป็นค่าจ้างอีกด้วย หลักฐานทางเคมีชิ้นแรกของเบียร์ข้าวบาร์เลย์อยู่ในช่วง 3500–3100 ปีก่อนคริสตกาลจากแหล่งค้นหาทางโบราณคดี แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่าเบียร์ทำมาจากอะไร? การผลิตเบียร์เป็นหนึ่งในกระบวนการที่ยากที่สุดในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อให้ได้ผู้ผลิตเบียร์คุณภาพสูงต้องคำนึงถึงความแตกต่างและคัดสรรส่วนผสมอย่างรอบคอบ ก่อนอื่นตามปกติแล้วสิ่งที่จะนำมาทำเบียร์นั้นมีอยู่4ชนิดมอลต์ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเมล็ดธัญพืช มอลต์แต่ละชนิดจะส่งผลต่อสีและรสชาติของเบียร์ต่างกันโดยมอลต์ที่นิยมได้แก่ ข้าวบาร์เลย์ เพราะมีปริมาณenzyme amylase สูงเมื่อเรานำไปหมักเมล็ดข้าวบาร์เลย์จะบวมและเกิดปฏิกิริยาเคมีซึ่งทำให้แป้งแตกตัวเร็วขึ้นได้น้ำตาลมอลต์น้ำ ในน้ำต้มเบียร์แน่นอนว่าน้ำเป็นส่วนสำคัญ สำหรับเบียร์บางประเภท "น้ำกระด้าง" (เกลือสูง) ก็เหมาะที่จะใช้มากกว่า มีหลายประเภทที่ทำด้วยน้ำที่มีปริมาณเกลือต่ำ นั่นคือพิลส์เนอร์ เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยให้ผู้ผลิตเบียร์สามารถควบคุมความเข้มข้นของเกลือในน้ำได้อย่างแม่นยำได้ในระดับสูงฮอปส์ เป็นพืชที่มีรสขมและกลิ่นหอมทำให้เบียร์มีรสขมและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งมีสารมากกว่า 200 ชนิดที่มีผลต่อต่อรสชาติ ในดอกฮอปส์จะมีกรดเฉพาะตัวเรียกว่า กรดฮอปส์ (Alpha acid) เมื่อต้นจะสกัดกรดนี้ออกมาละลายกับเบียร์ทำให้มีรสขมต่างกันในแตกละสายพันธ์ นอกจากนี้ยังมีส่วนทำให้เกิดฟองในเบียร์อีกด้วยยีสต์ มีหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลในมอลต์ให้เป็นแอลกอฮอล์ และก๊าซ CO2 โดยยีสต์มีสองประเภทในการหมักที่ใช้ในการผลิตเบียร์: 1.การหมักแบบ Top fermentation ทำปฏิกิริยาบนผิวหน้าเบียร์ 2.การหมักแบบ bottom-fermented ปฏิกิริยาด้านล่างของเบียร์เบียร์นั้นมีหลายชนิดด้วยกัน เช่น IPA ,Pilsner และ Hefeweizen แต่เราสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิดใหญ่ๆได้คือ "Lager" และ "Ale" เบียร์ lager นั้นคือการผลิตแบบ bottom fermented คือยีสต์ทำงานด้านล่างของเบียร์ใช้เวลาหมักนานและอุณหภูมิต่ำทำให้มีสีใสและอ่อน มีรสชาติที่ดื่มง่ายและสดชื่น ส่วนเบียร์ Ale นั้นคือการผลิตแบบ Top fermentation คือยีสต์ทำงานอยู่ด้านบน จะถูกหมักในเวลาที่น้อยกว่าและอุณหภูมิที่สูงกว่าทำให้มีสีเข้มและรสชาติที่หลากหลายมากกว่า Lager ส่วนตัวแล้วผู้เขียนชื่นชอบ Wheat beer ที่มีความนุ่มละมุนลิ้น ดื่มง่าย สามารถดื่มได้เรื่อยๆอาจมีส่วนผสมของแรสเบอรรี่ที่จะทำให้รสชาติเปรี้ยวเล็กน้อยและหอมหวานมากขึ้นแต่ก็จะมีสีที่ออกไปทางส้มชมพูต่างจาก Wheat beer ปกติที่สีเหลืองทองขั้นตอนของการต้มเบียร์มีดังนี้บดขยี้มอลต์ข้าวบาร์เลย์พอประมาณไม่ควรให้เป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่าการ "malt milling" จากนั้นมอลต์กริสต์จะผสมกับน้ำ กระบวนการนี้เรียกว่า "mashing" และส่วนผสมที่ได้จะเรียกว่า mash เมื่อเติมน้ำเอนไซม์ข้าวบาร์เลย์จะเริ่มสลายแป้งเป็น maltoseจากนั้นเติมฮอปส์ลงไป ระหว่างกระบวนการนี้จุลินทรีย์ทั้งหมดจะถูกฆ่าและเอ็นไซม์จะถูกทำลายเพื่อไม่ให้เกิดปฏิกิริยาเคมีเพิ่มเติม จากนั้นกรองเศษฮอปส์และสิ่งตกค้างออกการหมัก ให้ความเย็นกับน้ำ เติมยีสต์ลงไปแล้วย้ายไปสู่ถังหมักประมาณ 7-14 วัน สำหรับการหมักแบบ Top fermentation ที่อุณหภูมิประมาณ 14 องศาเซลเซียส ยีสต์จะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์กับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้นจะลดจะต้องทำให้อุณหภูมิเย็นลงที่ 64.4 - 71.6°F/18 - 22°C สำหรับการหมักแบบ bottom fermented 41 - 50 °F/5 - 10°C. ก่อนเติมยีสต์ในการบ่ม เมื่อยีสต์เปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์และคาร์บอนไดออกไซด์จะมีความร้อนเกิดขึ้นต้องทำให้อุณหภูมิคงที่กรองยีสต์หรือสิ่งตกค้างส่วนเกินที่ไม่ต้องการบรรจุลงภาชนะต่างๆอ้างอิงข้อมูลขั้นตอนจาก How Beer is made – Industrial brewing proccess | Moonshiners club การผลิตเบียร์ในระบบโรงงานนั้นมีการใช้เทคโนโลยีมากมาย จึงมีการปล่อยมลพิษก็คือการระบายน้ำเสียจากโรงงาน โรงงานจำเป็นจะต้องมีการบำบัดน้ำเสียก่อนจึงเป็นหน้าที่ของวิศวกรสิ่งแวดล้อมที่จะมาออกแบบและควบคุมกระบวนการบำบัดน้ำเสียนี้ อย่างไรก็ตามการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำลายตับและร่างกายได้ควรบริโภคแต่พอดีและไม่ควรขับรถเมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขอบคุณ รูปปก จาก tookapic / ภาพที่ 1 จาก Veex / ภาพที่ 2 จาก uirams / ภาพที่ 3 จาก RitaE / ภาพที่ 4 จาก PublicDomainPictures เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !