นับตั้งแต่กาแฟต้นแรกหยั่งรากฝังลึกลงในดินแดนพุกามโดยครูสอนศาสนากลุ่มหนึ่ง ณ เมืองทวาย เมื่อปี ค.ศ.1885 พัฒนาการของกาแฟเมียนมาร์ถือได้ว่าเชื่องช้ามาก ๆ หากเทียบกับดินแดนต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สืบเนื่องจากปัญหาการสู้รบภายในประเทศระหว่างชนกลุ่มน้อยอย่างต่อเนื่องและยาวนานส่งผลให้เกษตรกรขาดองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการพัฒนาคุณภาพกาแฟนั่นเอง หนึ่งร้อยปีผ่านไปพัฒนาการทางกาแฟของประเทศเมียนมาร์ยังถูกแช่แข็งไร้คนเหลียวแล ต้นกาแฟกลายเป็นพืชเสริมที่ชาวบ้านปลูกไว้ริมรั้วโดยไม่มีการดูแลรักษาและอาศัยเก็บผลเชอรี่ขายในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวพอให้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวเท่านั้นเอง ปี 2011 จุดเปลี่ยนสำคัญของวงการกาแฟเมียนมาร์ก็มาถึง เพราะรัฐบาลเมียนมาร์เริ่มทยอยบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มเพื่อเตรียมเปิดประเทศสู่โลกเสรี เพราะการรบพุ่งกันเป็นระยะเวลานานร่วมร้อยกว่าปี ไม่ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของประเทศเลย เมื่อเริ่มปลดล็อคพื้นที่ความขัดแย้ง เมียนมาร์ก็มีพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้น เกษตรกรเริ่มลืมตาอ้าปากได้หลังจากได้รับผลกระทบจากภัยสงครามมาเป็นระยะเวลายาวนาน จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 2016 สถาบันพัฒนาคุณภาพเมล็ดกาแฟ(Coffee Quality Institute)ได้นำเมล็ดกาแฟพม่าจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ชื่อ Ywar Ngan ตั้งอยู่ในเมืองพินดายา ออกอวดโฉมสู่สายตาชาวโลกในงาน Specialty Coffee Association of America Expo ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแอตแลนต้า ประเทศสหรัฐอเมริกา และจากจุดเริ่มต้นในงานนี้ทำให้ประเทศเมียนมาร์ถูกจับตามองจากคนในวงการกาแฟทั่วโลกทันที เพราะความโดดเด่นของเมล็ดกาแฟซึ่งมีคุณภาพดีและมีรสชาติใกล้เคียงพอฟัดพอเหวี่ยงกับกาแฟในแถบอเมริกา หลังจากนั้นเมล็ดกาแฟตัวนี้คือขุมทรัพย์ซึ่งมีค่ามหาศาลที่พลิกโฉมวงการกาแฟในดินแดนแห่งนี้ไปตลอดกาล หลังจากงานกาแฟที่แอตแลนต้าจบลง กาแฟเมียนมาร์ที่เคยหลับใหลเพราะภัยสงครามมาร้อยกว่าปี ก็ตื่นจากภวังค์พร้อมกับความต้องการอย่างบ้าคลั่งของชาวตะวันตก ซึ่งต่างงัดเอาสรรพกำลังทางนวัตกรรมเข้ามาสนับสนุนเกษตรกรชาวพม่ามากมาย อาทิ หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา(USAID)ที่จับมือกับสมาคมกาแฟเมียนมาร์อัดฉีดเม็ดเงินกว่า 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อทำให้เมียนมาร์เป็น Hub ของการผลิตกาแฟป้อนให้สหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ ที่มีศักยภาพในการซื้อเมล็ดกาแฟคุณภาพดี ตลอดจนถึงแบรนด์กาแฟชั้นนำในตลาดกาแฟพิเศษของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับความนิยมเทียบเท่ากับ "Starbucks" คือบริษัท "Blue Bottom" ก็เข้ามาสร้างฐานการผลิตในพื้นที่แถบ เมียวเซดี เช่นกัน จนกระทั่งปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกกาแฟในเมืองมันดาเลย์จึงไม่เพียงพอต่อการผลิตเสียแล้ว ทว่าในวิกฤติครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลเมียนมาร์จะแสวงหาพื้นที่เพาะปลูกและลดความขัดแย้งทางการเมืองไปพร้อมกัน จึงนำมาซึ่งการส่งเสริมให้เพาะปลูกกาแฟในเขตรัฐฉานซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ และ ภูเขาสูง อีกทั้งองค์ประกอบในเรื่องของรายได้ก็เป็นแรงจูงใจให้เกิดเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อ-ขายกาแฟรายใหม่เกิดขึ้นมากมาย และสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับรัฐบาลและประชาชนชาวรัฐฉานอย่างงดงาม นโยบายการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของรัฐบาลพม่าดูเหนือชั้นมาก เพราะเมื่อก่อนรัฐฉานเคยเป็นพื้นที่สีแดงซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งจนไม่มีใครกล้ามาลงทุน เพราะไม่รู้ว่ากระสุนจะตกใส่หลังคาบ้านเมื่อไร แต่ปัจจุบันนี้สิ่งต่าง ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ฐานการผลิตกาแฟแหล่งใหญ่ของประเทศก็ย้ายข้ามฟากจากมันดาเลย์มาสู่รัฐฉานโดยปริยาย ถึงแม้เมียนมาร์จะบอกว่ากาแฟของพวกเขาจำหน่ายในประเทศกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ และ 35 เปอร์เซ็นต์เป็นกาแฟส่งออก แต่รายได้ซึ่งเห็นน้ำเห็นเนื้อนั้นมาจากกาแฟส่งออกเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะกาแฟเหล่านี้ถูกคัดสรรให้มีคุณภาพเทียบเท่ากับ Specialty Coffee หรือ “กาแฟพิเศษ” ซึ่งแต่ละตัวจะต้องผ่านการทดสอบคุณภาพจากสถาบัน SCA(Specialty Coffee Association)ให้ได้ 80 คะแนนขึ้นไป แต่เชื่อหรือไม่ว่าภายในหนึ่งปี เมล็ดกาแฟจากหลายพื้นที่ในรัฐฉานพัฒนาคุณภาพจนไปแตะ 90 คะแนนได้หลายเจ้า ซึ่งคะแนนระดับนี้ถือว่าดีเกินระดับมาตรฐานที่ตั้งไว้บ่งบอกถึงความทุ่มเทและความเอาใจใส่ที่เกษตรกรและกลุ่มผู้พัฒนาคุณภาพของเมล็ดกาแฟทำงานสอดประสานกันได้เป็นอย่างดีนั่นเอง อ้างอิงจากข้อมูลการส่งออกกาแฟของหน่วยงานที่ใช้ชื่อว่า International Growth Center (IGC) นับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา สัดส่วนการส่งออกของกาแฟพม่าสู่ตลาดโลกก็มีแนวโน้มดีกว่าช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน จากผลผลิตส่วนใหญ่ที่เคยเน้นการขายในประเทศกลับให้ความสำคัญในการส่งออกมากขึ้น ข้อมูลการส่งออกตั้งแต่ปี 2014 จนถึงปัจจุบันมีปริมาณ 150-200 ตัน ขึ้นอยู่กับผลผลิตในแต่ฤดูกาล ซึ่งหากเรามองย้อนกลับไปดูสถิติตั้งแต่ปี 2000-2013 ยอดการส่งออกกาแฟของพม่ามีค่าเฉลี่ยอยู่เพียง 20-25 ตันต่อปีเท่านั้นเอง จากวันแรกจนถึงวันนี้พัฒนาการทางกาแฟของเกษตรชาวพม่านั้นไปไวแบบติดจรวดมาก ๆ หากใครมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมสวนกาแฟในรัฐฉานจะเห็นการทำงานที่มีมาตรฐานเทียบเท่าผู้ผลิตกาแฟในระดับสากลเลยทีเดียว จากเมื่อก่อนเคยผลิตและแปรรูปกาแฟแบบตามมีตามเกิดจนส่งผลให้เมล็ดกาแฟสูญเสียคุณภาพเป็นจำนวนมาก มาวันนี้พวกเขาได้รับการสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยีและองค์ความรู้จากผู้ประกอบการที่พร้อมจะประกันราคาและรับซื้อผลผลิตโดยตรงจากไร่ ดังนั้นเราจึงไม่แปลกใจหากเกษตรกรส่วนใหญ่ในรัฐฉานจะปรับเปลี่ยนกระบวนการเพื่อยกระดับคุณภาพของเมล็ดกาแฟเพื่อที่จะขายให้ได้ในราคาสูง เช่น จากที่เคยตากกาแฟกับพื้น เกษตรกรก็หันมาตั้งตะแกรงยกพื้นสูงเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ตลอดจนถึงเครื่องอบกาแฟและห้องควบคุมอุณหภูมิก็มีให้เห็นกันทั่วไป อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของกาแฟรัฐฉานคือ บริษัทผู้ผลิตและผู้ค้าเมล็ดกาแฟที่ชื่อว่า"Genius Shan Highland" กลายเป็นบริษัท S.M.E ซึ่งเริ่มต้นจากคนท้องถิ่น และเป็นผู้ประกอบการด้านกาแฟบริษัทแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สามารถคว้ารางวัล Best Asean Business Award มาครองได้ในปี 2018 เป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาเดินมาถูกทางและมีการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในพื้นที่ได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาสามารถควบคุมกลไกราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางซึ่งพยายามแสวงหาโอกาสกดขี่ราคาอย่างไม่ชอบธรรมแน่นอน หากวิเคราะห์กันตามศักยภาพแล้วพื้นที่ปลูกกาแฟในรัฐฉานค่อนข้างได้เปรียบพื้นที่อื่น เนื่องจากมีพื้นที่กว่า 27,000 ไร่ (มากที่สุดในประเทศ) ซึ่งอุดมไปด้วยที่สูงและร่มไม้ซึ่งเอื้อต่อการเพาะปลูกกาแฟ อีกทั้งต้นทุนการผลิตก็ต่ำกว่าพื้นที่อื่น นอกจากนี้ข้อได้เปรียบที่สำคัญของผู้ปลูกกาแฟเมียนมาร์คือมีตลาดที่พร้อมจะรับซื้อเมล็ดกาแฟคุณภาพในปริมาณไม่จำกัด ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญให้เกษตรกรพัฒนาคุณภาพของเมล็ดกาแฟเพื่อให้สามารถจำหน่ายในราคาสูงขึ้น ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่แปลกใจเลยว่าอนาคตของกาแฟเมียนมาร์และรัฐฉานจะสดใสสักเพียงใด เครดิตภาพประกอบโดยผู้เขียน