ผลของการ ขู่ลูก ซ้ำเติมลูก วันนี้แม่ยุงลายมีสาระน่ารู้เรื่องผลของการขู่ลูก ซ้ำเติมลูก มาฝากคุณแม่ทุกท่านคะ ส่วนมีเนื้อหาสาระอย่างไรนั้นมาอ่านไปพร้อมๆ กันเลยคะ บางทีเดี๋ยวนี้เราห้ามลูกอย่างนู้นอย่างนี้ เราพยายามจะอธิบายด้วยเหตุผล เช่น ไม่ให้ทำนะเดี๋ยวขวดแก้วจะแตก ของอันนี้ของคนนู้นของคนนี้ แต่ลูกก็ยังคงจะทำอยู่ คุณแม่บางคนก็อาจจะใช้วิธีแบบพูดว่า "อืมอื้ม" หรือ "ไม่นะ" หรืออาจจะมีการขู่เด็กบางว่าเดี๋ยวคุณหมอฉีดยานะ เดี๋ยวตำรวจจับนะ บางทีลูกก้จะไม่ฟังเรา จริงๆ การที่ทำให้ลูกหยุด วิธีที่ดีที่สุดเราอยากให้เขาหยุดด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยความกลัว เพราะว่าการหยุดด้วยความกลัวมันไม่ได้ช่วยอะไร แล้วมันก็จะทำให้เด้กมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมด้วยซ้ำไป เพราะว่าหลังจากนั้นพอเด็กเขาได้เรียนรู้ว่า ที่แม่พูดมันไม่จริงไม่เห็นหมอหรือตำรวจอยู่แถวนั้นเลย ไม่เห็นหมอหรือตำรวจจะว่าอะไรเลย หลังจากนั้นเด็กเขาก็จะไม่เชื่อแล้วและเขาก็จะรู้สึกว่าเราโกหก เลยแนะนำว่าถ้าจะแก้ไขตรงนี่ ก็ต้องบอกว่าเดี๋ยวแก้วมันแตกแล้วจะบาดมือและมันจะเจ็บนะ ให้เหตุผลของสิ่งที่จะเกิดขึ้นประมาณนี้ เด็กบางคนอาจจะชอบเล่นลิ้นชักอย่างนี้ คุณแม่บางคนอาจจะทำให้ลูกดูว่าโอ้ยๆ เจ็บประมาณนี้ ลูกอาจจะมีการล้อการทำตามแล้วหัวเราะเพราะเด็กเขาเห็นเป็นเรื่องสนุก แต่จริงๆ บางอย่างถ้าเกิดสมมติว่าอย่างเรื่องลิ้นชัก ถ้าห้ามไม่ได้จริงๆ ก็ต้องปล่อยให้เด็กเขาลองเลยให้เขาเห็นผลของการกระทำว่าทำแล้วมันได้อะไร แต่เราดูเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ด้วยนะ อะไรที่มันอันตรายมากๆ ก็ไม่ได้ เช่น เล่นมีด เล่นไฟ อย่างนี้ไม่ได้ แล้วที่สำคัญอีกอย่างคือ หลังจากที่ลูกทดลองกระทำแล้วเจ็บตัวอย่าซ้ำเติม บาทีพ่อแม่จะใช้คำพูดแบบว่า "แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำเห็นไหมมันเจ็บ" คือ จริงๆ เด็กเขาเสียใจมากอยู่แล้วเพราะเขาเจ็บ แล้วเรายิ่งซ้ำเติมเขาอีกมันจะยิ่งทำให้เขาเสียเรื่องความมั่นใจไปเลย เพราะฉะนั้นเราก็จะพูดสะท้อนเขาไปว่า "แม่รู้ว่าเจ็บคราวหน้าระวังนะ" หรือไม่ก็ถ้ายังไม่เจ็บแต่เขาตกใจ สมมุติดึงของมาแล้วมันตกแตก เขาจะตกใจและเห็นว่ามันแตกจริงๆ แบบที่แม่บอกเลยอย่างนี้ บางทีเราก็ถาม "เจ็บตรงไหนไหมลูก" ให้เราเป็นห่วงเขาก่อนสะท้อนอารมณ์เขาก่อน ลูกเขาก็จะเริ่มรู้ด้วยเหตุผลแล้วว่าทำอะไรแล้วมันได้อะไร หลังจากนั้นเขาก็จะเริ่มเรียนรู้เองว่ามันไม่ควรทำ แต่ถ้าเป็นการขู่เขาก็จะยังอยากทำอยู่ดี แล้วเขาก็จะพยายามมาหาว่าทำไมไม่เห็นมีหมอหรือตำรวจมาเลย ต่อไปก็ทำได้สิอะไรอย่างนี้ หรือบางทีก็อาจจะมีการแอบทำด้วย ถ้าเด็กเขากลัวแล้วเขาก็จะจำได้ว่าเขาจะไม่ทำเกินนี้ แล้วพอเราไม่อยู่เขาจะแอบทำอันตรายกว่าเยอะมาก และไม่ได้แอบทำแค่เรื่องนี้โตขึ้นเป็นวัยรุ่นถ้าเราขู่เขาสมมติว่า เป็นวัยที่แบบจะมีเพื่อนผู้ชายอะไรอย่างนี้ หรือมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรอะไรอย่างนี้ ไปขู่อย่างนู้นอย่างนี้ คือ อารมณ์ในตอนนั้น Hormones ในตอนนั้นมันก็จะมีเยอะ คือ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ว่าแม่เป็นห่วงเขาจริงๆ เหมือนตอนนี้ถ้าเราสอนเขาแบบนี้เขาก็จะรู้ว่าเราเป็นห่วงเขาจริงๆ หลังจากนั้นเค้าก็จะคิดถึงเรา มันจะมี Attachment ที่ดึงเขาไว้เป็นสายใย ไม่ให้เขาทำพฤติกรรมเสี่ยงเมื่อเขาโตขึ้น เพราะฉะนั้นแค่เราสอนเขาว่าไม่ให้เจ็บตัวหรือให้เขาเรียนรู้เรื่องการเจ็บตัว แล้วเราปลอบโยนเขาหลังจากที่มันเกิดเหตุการณ์เราสอนเขาอย่างนี่มันได้ผลถึงตอนโตด้วย แล้วมันไม่ใช่แค่ตอนนี้ คือ อย่างน้อยให้แสดงถึงเจตนาว่าเราห่วงใย เรารักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข ถึงเขาจะดื้อ เขาจะทำของเสียหายยังไงเราก็ยังรักเขาอยู่ แต่ว่าการจัดการก็ต้องต่างกัน คือ การแสดงความรักเราก็จะเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเราจะไม่อ้างว่า "แม่ไม่รักนะ ถ้าหนูทำแบบนี้" อันนี้เราเจอมาหลายบ้านเลยที่ใช้ความรักมาอ้าง เพื่อเป็นเงื่อนไขให้เด็กหยุดพฤติกรรม "เดี๋ยวไม่รักนะถ้าไม่กินข้าวให้หมด" อย่างนี้เขาจะรู้สึกว่ามันไม่ Secure ความรักของแม่มันต่อรองอย่างนั้น ทำไมมันแปรเปลี่ยนไปเยอะ อะไรกันแค่ไม่กินข้าว 1 จาน แล้วแม่ก็ไม่รักเลยหรอ มันจะทำให้เขารู้สึกว่าความรักของแม่มันไม่มั่นคง แล้วก็ไม่มี Attachment ที่แน่นพอที่จะดึงเขาเมื่อเขาโตขึ้น ตอนที่เขาเข้าสู้ในวัยที่มีความเสี่ยงก็แค่นี่แหละก็แค่เรื่องง่ายๆ ที่เราคิดว่ามันไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วมันส่งผลถึงนิสัยตอนโต หลักๆ คือ ให้เขาเห็นว่าเราเตือนเพราะรักแล้วบอกเหตุผลบ้างหลังจากที่อารมณ์มันเปลี่ยนไป แล้วไม่ทำเพราะอะไร เพราะมันเจ็บ ไม่ทำเพราะของมันเสียหาย สมมติว่าลูกโยนของเล่นอันหนึ่งแล้วมันแตกปุ๊บของเล่นชิ้นนั้นเราก็จะไม่ซื้อให้อีก ให้เขารู้ว่ามันก็จะหายไป เราจะไม่ซื้อตัวใหม่ให้ก็คือหนูก็จะไม่ได้เล่นอันนี้อีกแล้ว เราจะต้องไม่ขู่ลูกและก็ให้ลูกรับผลของการกระทำนั้นแล้วคอยบอกคอยปลอบและก็ไม่ซ้ำเติม แต่ให้เห็นผลของการกระทำแบบชัดเจนไปด้วยกัน เด็กบางคนอาจจะอาบน้ำเสร็จแล้ววิ่งเล่นรอบบ้านเลยไม่อยากใส่เสื้อผ้า บางทีเราต้องไปตามให้มาใส่แล้วก็ต้องมีการขู่มีการต่อรองให้มาใส่เสื้อผ้า อย่างนี้เราก็ต้องปล่อยให้เขาวิ่งไปก่อน เดี๋ยวสักพักเขาเริ่มรู้สึกว่ามันโล่งโจ้งมันเย็นๆ แล้วนะเขาก็จะเดินกลับมาใส่เอง คุณแม่บางคนอาจจะบอกว่า "เห็นไหมแม่บอกให้มาใส่เสื้อผ้า" อันนี้เป็นการซ้ำเติม ถ้าเขากลับมาใส่เสื้อผ้าเองเราก็อาจจะแก้คำพูดเป็น "แม่ดีใจที่หนูมาใส่เสื้อผ้า เก่งจังเลยอาบน้ำเสร็จต้องใส่เสื้อผ้า" ให้เป็นการชมเชยแทน บางทีคุณแม่ก้ต้องใจแข็งนิดนึงแล้วก็ต้องหนักแน่นและรักลูก ใจดีกับลูก ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน เข้าใจว่ามันยากดพราะเวลาทำจริงมันไม่ได้เป็นเหมือนที่เราพูดหรอก แล้วมันก็มีเรื่องของอารมณ์แม่ด้วย แต่ว่าถ้าเราเน้นมีหลักการในใจบ้าง ปรับใช้ไปในแต่ละวัน เดี๋ยวก็จะดีขึ้นได้เล็กได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลยนะคะ สู้ๆ นะคะเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกท่านนะคะ ภาพประกอบโดย : ยุงลาย ยุงลาย