ปัจจุบันต้องยอมรับเลยว่า วงการหนังสร้างรายได้ต่อตลาดโลกได้อย่างมหาศาล เราเองต่างเป็นใครสักคนที่ได้รับอิทธิพลจากวงการนี้ไม่มากก็น้อย ต้องบอกเลยว่าผมเองเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเเละเราทุกคนต่างเติบโตมาพร้อมกับตัวละครในหนังโปรดสักเรื่อง หรือฮีโร่ในดวงใจสักตัวที่เติบโตมาพร้อมๆกับช่วงวัยเด็กของเรา กระทั่งวันนี้เราก็ยังคงจดจำฮีโร่เหล่านั้นหรือตัวละครโปรดตนนั้นได้เป็นอย่างดี เท่าที่จำความได้เมื่อครั้งยังเยาว์วัย คุณพ่อมักจะเช่าแผ่นซีดีม้วนหนังมาดูด้วยกันทุกเย็นวันเสาร์ เนื่องจากเป็นวันที่โรงเรียนปิดเราจึงมีเวลาร่วมกันในการดูหนัง ถามว่าตอนนั้นมีความคิดขนาดที่ว่าต้องได้รับอะไรจากการดูหนังก็คงตอบว่า "ไม่" เพราะเราเองก็ดูเพื่อความสนุกสนาน อายุเท่านั้นจะไปรู้อะไร กระทั่งโตมาเมื่อมองย้อนกลับไป จึงได้เริ่มตระหนักอะไรบางอย่าง ทั้งบทเรียน ข้อคิด หรือคำตอบมากมายที่เราไม่ได้ถามด้วยซ้ำกลับปรากฏให้เห็นในชีวิตอย่างน่าประหลาดใจ ประหนึ่งราวกับว่า หนังเหล่านั้นคือส่วนสำคัญของชีวิตจนเราไปเสียเเล้วเล่ามาถึงจุดนี้ก็อยากจะยกหนังสักเรื่องที่มีอิทธิต่อชีวิตเเละเป็นหนังที่ไม่ว่าจะกลับมาดูกี่ครั้งก็ยังรู้สึกดีทุกครั้ง "The Secret Life of Walter Mitty" หรือชื่อภาษาไทย "ชีวิตพิศวงของ วอลเตอร์ มิต" เอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยถูกใจชื่อนี้เท่าไหร่เเต่ก็เอาเถอะ เพราะนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่จะบอกต่อจากนี้หนังได้เล่าถึงการเดินทางของ Walter Mitty ผู้ที่ทำงานอยู่ในบริษัทนิตยสาร LIFE ในตำแหน่งบรรณาธิการด้านภาพฟิล์มเนกาทีฟ เป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยมีคนให้คุณค่ามากนัก ซึ่งหนังเล่ามาถึง ช่วงที่นิตยสารเล่มสุดท้ายกำลังจะตีพิมพ์เเต่เเละเป็นช่วงที่บริษัทกำลังรื้อถอนระบบครั้งใหญ่ซึ่งนั่นส่งผลให้พนักงานหลายคนถูกเชิญออกอย่างปฏิเสธไม่ได้ เเต่ Walter mitty กลับไม่มีภาพฟิล์มที่ 25 เเละนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางทั้งหมด ซึ่งหนังเดินเรื่องไม่ช้าไม่เร็ว ดูเพลินมาก ระหว่างการเดินทางมีข้อคิดเเละปรัชญาแฝงเต็มไปหมด นาทีนี้ผมคงจะไม่สปอยล์ให้เพื่อนๆทุกคน เพราะคิดว่าถ้าได้ดูเองจะได้อรรถรสมากกว่า หนังได้จบอย่างสมบูรณ์เอาสะผมต้องอุทานออกมาด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นว่า "โหหห สุดๆไปเลย" กินใจสุดๆสิ่งหนึ่งที่ผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า หนังเรื่องนี้ คือหนังสักเรื่องที่มีผลต่อชีวิตของผมมากที่สุด นั่นก็เพราะ Walter เป็นแบบอย่างในด้านการทำงานให้กับใครหลายๆคนได้เป็นอย่างดี เขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่องานที่เขารัก รวมไปถึงให้คุณค่าในสิ่งที่ทำ เขาไม่รู้หรอกว่าจะมีใครสักคนเห็นในงานที่กำลังทำหรือเปล่า เขาทำมันเเละทำอย่างดีที่สุด การเดินทางของเขาหลังจากที่รู้ว่าฟิล์มใบสุดท้ายหายไป คือการเดินทางที่พาคนดูออกจาก Safety zone ของตัวเองว่าโลกที่เเสนกว้างใหญ่นี้มีสิ่งที่สวยงามเเละความท้าทายในชีวิตรอเราอยู่ การตัดสินใจออกเดินทางไปกรีนเเลนคนเดียวครั้งนั้น ทำให้เขาเปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่มีทั้งความบ้าเเละได้ทลายกำเเพงแห่งความกลัวออกไปจนหมด มันไม่ง่ายเลยที่จู่ๆ พนักงานธรรมดาๆคนนึงที่ชีวิตอยู่เเต่กับงานเเละงานจะออกเดินทางสู่ๆ ความท้าทายในชีวิตมาถึงตรงนี้ บอกได้เลยว่าเราโตมากับหนังจริงๆ เพราะหนังไม่ใช่เเค่เปลี่ยนความคิดเรา มันหลอมเราให้เป็นใครสักคนที่ดีขึ้นผ่านบทเรียนที่สอดเเทรกมากับตัวหนัง ชีวิตจริงของคนเราก็อาจเปรียบได้กับหนังดีๆสักเรื่อง เราต่างเป็นพระเอกของเรื่อง คอยกำหนดชีวิตด้วยตัวเราเอง ผ่านการตัดสินใจที่ถูกบ้างผิดบ้าง สุขเเละทุกข์คละเคล้ากันไป เเละไม่ใช่ทุกวันจะพบเจอเเต่เรื่องดีๆ เเต่สุดท้ายเเล้ว พระเอกจะได้รับบทเรียนของชีวิตที่คอยปรับเปลี่ยนตัวเขาในทุกๆช่วงจังหวะของชีวิต เพียงเเต่บางครั้งในชีวิตจริงก็ไม่ได้จบเเบบ Happy ending หน้าที่เราก็คือ ก้าวต่อไปให้เหมือนทุกครั้งที่ก้าวมาก็เท่านั้นผมจึงตั้งคำถามกับตัวเองอยู่บ่อยครั้งว่า หนังสักเรื่อง มีอิทธิผลกับชีวิตเรามากกว่าขนาดนั้นเลยหรือ ? คุณละคิดว่าไง... By Wisdom Oneinchpunch / canvaTech Daily / UnsplashAnnie Spratt / UnsplashAndrea Cau / Unsplash Maël BALLAND / PixabayJakob Owens / Unsplash คอมมูนิตี้โลกคนรักหนัง ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน