ในปัจจุบันพืชเชิงเดี่ยวมักเป็นที่นิยมในการเพาะปลูกในหลายพื้นที่เนื่องจากมีปัจจัยในหลายด้านที่เป็นตัวกำหนดทำให้ความหลากหลายของพืชที่ปลูกถูกจำกัดเหลืออยู่ไม่กี่ชนิด เช่น ตลาดที่รองรับสินค้าเกษตรในพื้นที่ สภาพเเวดล้อมที่เหมาะสมกับพืชเเต่ละชนิด องค์ความรู้ความเชี่ยวชาญในการเพาะปลูกพืชชนิดนั้นๆ เป็นต้น โดยพืชเชิงเดี่ยวที่นิยมปลูกกันมากในเเต่ละภูมิภาคของไทยมีหลายชนิดอาทิ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม ซึ่งผลผลิตจากพืชเชิงเดียวมักจะเป็นสัดส่วนอยู่ในท้องตลาดเป็นจำนวนมากเเละเป็นวัตถุดิบสำคัญให้กับภาคอุตสาหกรรม เมือเทียบกับการปลูกพืชผสมผสานที่เน้นใช้ประโยชน์กันเองในครัวเรือน ซึ่งการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ทำให้ได้ผลผลิตหรือรายได้ตามที่คาดหวังนั้นจะต้องมีการจัดการที่ดีมีการบำรุงดูแลพืชให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการผลิดอกออกผลโดยมีวิธีการดังนี้ปัจจัยเเสง พืชเชิงเดี่ยวที่ปลูกมักเป็นพืชที่มีขนาดเเละการเติบโตใกล้เคียงกันจึงทำให้การรับเเสงเเดดจากดวงอาทิตย์ในเเต่ละวันนั้นอาจถูกปิดบังจากต้นข้างเคียงดังนั้นการวางแนวเพาะปลูกพืชก็ควรให้พืชได้รับแสงเเดดอย่างเต็มที่ในเเต่ละวัน โดยเเนวการเพาะปลูกนั้นควรปลูกสลับฟันปลาทำมุมกับทิศตะวันออก 90° เพื่อไม่ให้เงาของพืชนั้นทับกันในบางช่วงเวลา ความหลากหลายของจุลินทรีย์ ซึ่งพืชส่วนใหญ่สามารถดำรงชีวิตได้โดยพึงพาอาศัยจุลินทรีย์ในสภาพเเวดล้อมเดียวกันไม่ว่าจะทั้งในดินหรือเหนือผิวดิน โดยจุลินทรีย์มีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายสารอินทรีย์ต่างๆทำให้พืชดูดซึมและนำไปใช้ อีกทั้งยังช่วยตรึงธาตุอาหารที่สำคัญให้กับพืช เช่น ไนโตรเจน จึงเเทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่การปลูกพืชเชิงเดียวจะมีความหลากหลายของจุลินทรีย์ดังนั้นการช่วยเพิ่มปริมาณเเละความหลากหลายของจุลินทรีย์จึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่น การใช้นํ้าหมักชีวภาพ สารอินทรีย์ ผลจากการปลูกพืชเชิงเดียวส่งผลให้มีความต้องการธุาตอาหารในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั้นมากกว่าปกติทำให้ดินเปลี่ยนสภาพหรือเสียสภาพไป นอกจากนี้เกษตรบางกลุ่มยังมีการใช้สารเคมีอย่างปุ๋ยเคมีสารกำจัดศัตรูพืชที่เป็นอีกหนึ่งตัวเริงทำให้เดินเสียสภาพเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ยากที่ธาตุอาหารในดินนั้้นจะเพียงพอจึงจะต้องมีการเติมปุ๋ยคอกเพื่อเป็นอาหารเสริมที่ทดแทนสารอาหารหรือสารอินทรีย์บางกลุ่มที่สำคัญในดินที่ได้ขาดหายไปผลพลอยได้จากผลิตภัณฑ์หลัก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดผลพลอยได้อย่าง เช่น ใบ กิ่ง ต้น จากการปลูกพืชชนิดเดียวในจำนวนที่มากซึ่งขึ้นอยู่กับการจัดการสิ่งเหล่านี้ว่าจะก้องทิ้งไว้หรือจะนำไปต่อยอดในธุรกิจอืนต่อไปอย่าง เช่น นำมาโม่ทำเป็นไม้อัดหรือบดเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์อย่างใบมันสำปะหลัง อ้อย ปาล์ม ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรศึกษาสัดส่วนที่ผสมลงไปว่าเหมาะสมกับสัตว์ไหม อย่าง เช่น ถ้าให้วัวกินใบมันสำปะหลังมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ภาพถ่ายโดย: Madao