รีเซต

ไวรัสอาร์เอสวี ระบาดนอกฤดูกาลจากผลทางอ้อมของโควิด-19

ไวรัสอาร์เอสวี ระบาดนอกฤดูกาลจากผลทางอ้อมของโควิด-19
ข่าวสด
16 กันยายน 2564 ( 09:53 )
13

ช่วงต้นปี 2021 บุคลากรการแพทย์ที่โรงพยาบาลเด็กไมมอนิดีส ในย่านบรูกลิน ของนครนิวยอร์ก เริ่มรู้สึกโล่งใจที่ยอดผู้ป่วยโควิด-19 กำลังลดลง

 

 

ผลจากการที่ผู้คนใช้มาตรการป้องกันโรคโควิด เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม การสวมหน้ากาก และการล้างมือสม่ำเสมอ ยังช่วยลดการเกิดโรคติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ด้วย

 

 

ทว่าในเดือน มี.ค. กลับพบเด็กและทารกที่มีอาการไอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น โดยเด็กที่มีอาการหนักบางคนมีอาการหายใจลำบาก

 

 

เด็กเหล่านี้ติดเชื้อไวรัสมวลเซลล์รวมระบบหายใจ หรือ ไวรัสอาร์เอสวี (respiratory syncytial virus หรือ RSV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับปอด และพบได้บ่อยในช่วงฤดูหนาว ซึ่งตามปกติในช่วงเดือน มี.ค. ยอดเด็กติดเชื้อชนิดนี้มักเริ่มลดลงแล้ว แต่มันกลับพุ่งสูงขึ้นผิดปกติในปีนี้

 

ในช่วงหลายเดือนต่อมา ไวรัสอาร์เอสวีนอกฤดูกาลได้สร้างความวุ่นวายให้โรงพยาบาลหลายแห่งในช่วงฤดูร้อน โดยพบการระบาดสูงผิดปกติทั้งในตอนใต้ของสหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร

 

 

แพทย์หลายคนเชื่อว่าพฤติกรรมที่ผิดแปลกไปของไวรัสชนิดนี้น่าจะเป็นผลทางอ้อมที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากเมื่อปีที่แล้ว การใช้มาตรการล็อกดาวน์ และการรักษาสุขอนามัยเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิดนั้น ได้ส่งผลต่อเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ ด้วย รวมถึงไวรัสอาร์เอสวี ด้วยเหตุนี้เด็กจึงไม่มีโอกาสได้สัมผัสเชื้อโรคเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย

 

 

เมื่อมาตรการป้องกันโรคระบาดเริ่มผ่อนคลายลง เด็กจำนวนมากที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอต่อไวรัสอาร์เอสวีจึงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อโรคชนิดนี้พุ่งทะยานขึ้นในช่วงเวลาที่คาดไม่ถึง

 

 

เชื้อโรคที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเชื้อที่คาดเดาแนวโน้มได้ง่าย จึงอาจสร้างความประหลาดใจให้โรงพยาบาลและครอบครัวที่มีเด็กเล็กได้ทุกเวลา

 

 

การระบาดนอกฤดูกาลของไวรัสอาร์เอสวียังทำให้โรงพยาบาลมีผู้ป่วยเด็กล้น อีกทั้งยังทำให้เห็นว่าการระบาดของโควิด-19 และการใช้มาตรการควบคุมโรคต่าง ๆ ได้ส่งผลต่อโลกของเรามากเพียงใด

 

 

ส่วนบรรดาเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลนั้น ประสบการณ์ที่พวกเขาได้ประสบเป็นเรื่องที่น่าตกใจ

พญ. ราเบีย อากาห์ ผู้อำนวยการแผนกโรคติดเชื้อในเด็กที่โรงพยาบาลเด็กไมมอนิดีส เล่าว่า "ไอซียู (หอผู้ป่วยวิกฤต) ของเราเต็มอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ไม่ใช่ผู้ป่วยโควิด แต่เป็นเชื้อไวรัสชนิดอื่น"

 

 

ในช่วงที่ไวรัสอาร์เอสวีระบาดรุนแรงที่สุดในช่วงต้นเดือน เม.ย. เด็กส่วนใหญ่ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตที่โรงพยาบาลนี้เป็นผู้ติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี

 

 

เด็กในอีกหลายประเทศก็เผชิญการระบาดนอกฤดูกาลของไวรัสอาร์เอสวีเช่นกัน

นพ. คริสโตเฟอร์ แบร์เกอร์ หัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อและระบาดวิทยาในโรงพยาบาลที่โรงพยาบาลเด็กมหาวิทยาลัยซูริก ในสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า "มันทำให้เราประหลาดใจ เรารู้ว่ามันเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ป่วยมากขนาดนี้"

 

 

ที่โรงพยาบาลเด็กในสวิตเซอร์แลนด์แห่งนี้มักพบไวรัสอาร์เอสวีระบาดรุนแรงที่สุดในเดือน ม.ค. แต่มันจะลดลงจนแทบเป็นศูนย์ในช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือน มิ.ย. - ส.ค. ทว่าในปีนี้ต่างออกไป เพราะไม่พบผู้ป่วยเลยในฤดูหนาว แต่จำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มเพิ่มสูงในเดือน มิ.ย. แล้วพุ่งแตะ 183 รายในเดือน ก.ค. ซึ่งสูงกว่ายอดผู้ติดเชื้อในฤดูหนาวปีก่อนหน้านั้น

 

 

นพ. คริสโตเฟอร์ แบร์เกอร์ เล่าถึงช่วงที่มีผู้ป่วยสูงสุดในเดือน ก.ค. ว่าเตียงที่โรงพยาบาลเต็มจนต้องส่งเด็กและทารกที่ติดเชื้ออาร์เอสวีไปรักษาในโรงพยาบาลที่ยังพอมีเตียงว่าง

 

 

ในช่วงดังกล่าวมีโรงพยาบาลอื่นอีก 7 แห่งในสวิตเซอร์แลนด์ที่เผชิญสถานการณ์เดียวกับโรงพยาบาลที่ นพ. แบร์เกอร์ทำงานอยู่ และสามารถพูดได้ว่า ไวรัสอาร์เอสวีกลายเป็นปัญหาใหญ่กว่าโควิด-19 สำหรับพวกเขาในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา "โรงพยาบาลเราแทบไม่มีผู้ป่วยโควิดเลยในช่วงนั้น" เขากล่าว

 

 

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ ระบุว่า ตามปกติการติดเชื้ออาร์เอสวีไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเท่าใด เพราะเด็กส่วนใหญ่จะต้องติดเชื้อนี้สักครั้งหนึ่งภายในอายุ 2 ขวบ โดยส่วนใหญ่มักมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัด เช่น น้ำมูกไหล และไอ จากนั้นมักหายป่วยได้เอง แต่ในเด็กบางรายอาจเกิดภาวะหลอดลมฝอยอักเสบ (bronchiolitis) และการอักเสบที่ปอดส่วนล่าง ซึ่งทำให้หายใจและรับประทานอาหารได้ลำบาก

 

ราว 1-2% ของทารกที่ติดเชื้ออาร์เอสวีจะป่วยหนักจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และได้รับออกซิเจนโดยการสวมหน้ากาก หรือใช้สายให้ออกซิเจนทางจมูก เด็กบางคนอาจต้องใช้สายให้อาหาร ซึ่งหลังจากใช้วิธีเหล่านี้เด็กส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นภายใน 2-3 วัน

 

 

ก่อนที่โควิด-19 จะระบาด โรงพยาบาลต่าง ๆ มักเตรียมความพร้อมรับมือกับไวรัสอาร์เอสวีก่อนจะเข้าสู่ฤดูหนาว โดยคนไข้กลุ่มเสี่ยงที่สุด เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนด และเด็กที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอดและหัวใจอาจได้รับการปกป้องจากโรคนี้ด้วยการฉีดวัคซีน palivizumab เพื่อต้านเชื้อไวรัสอาร์เอสวี โดยจะต้องได้รับวัคซีนชนิดนี้ในทุกเดือนที่มีไวรัสอาร์เอสวีระบาด นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมการเตรียมตัวรับมือกับการเพิ่มขึ้นของโรคจึงสำคัญมาก

G

อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิดได้ไปรบกวนวงจรการเกิดโรคตามฤดูกาลของไวรัสอาร์เอสวี รวมถึงบทบาทตามปกติของมันในการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันของเด็ก

 

 

พญ. อากาห์ จากโรงพยาบาลเด็กไมมอนิดีส บอกว่า มาตรการป้องกันโควิด ทำให้ไวรัสอาร์เอสวีไม่ได้แพร่ระบาดไป 1 ฤดูกาล ส่งผลให้เด็กไม่ได้สัมผัสกับเชื้อเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคนี้ และแม่ก็ไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันที่สามารถส่งผ่านไปสู่ลูกน้อยได้

 

 

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อไวรัสอาร์เอสวีมากเป็นพิเศษเมื่อประเทศต่าง ๆ เริ่มคลายล็อกดาวน์และผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

 

 

ในกรุงโตเกียว นักวิจัยรายงานยอดผู้ป่วยอาร์เอสวีรายปีสูงที่สุดนับแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2003 พวกเขาบ่งชี้ว่า จำนวนผู้เสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงที่โควิด-19 ระบาดนั้น อาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การระบาดใหญ่ในปีนี้

สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญมีความกังวลคือการระบาดในรูปแบบใหม่นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะการที่ไวรัสอาร์เอสวีระบาดรุนแรงในฤดูร้อนที่ผ่านมา ไม่ได้หมายความว่าการระบาดจะลดลงเมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็นลง และในบางพื้นที่ก็เริ่มมีแนวโน้มการระบาดเพิ่มขึ้นแล้วในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง

 

 

การที่โรงเรียนเริ่มเปิดภาคเรียนใหม่ก็จะยิ่งทำให้เชื้อไวรัสต่าง ๆ รวมถึง ไวรัสอาร์เอสวีมีโอกาสแพร่กระจายได้มากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าพฤติกรรมของผู้ใหญ่ก็อาจมีส่วนสำคัญกว่าในการแพร่เชื้อโรค

 

 

ในสวิตเซอร์แลนด์ สถานรับเลี้ยงเด็กและสนามเด็กเล่นยังเปิดตามปกติในฤดูหนาวที่ผ่านมา และเด็กเล็กก็ไม่ได้สวมหน้ากาก แต่ช่วงนั้นกลับแทบไม่พบเด็กติดเชื้อไวรัส เช่น อาร์เอสวี และไข้หวัดใหญ่เลย นี่อาจเป็นเพราะผู้ใหญ่ใช้มาตรการรักษาสุขอนามัยเพื่อป้องกันการติดโควิด

 

 

นพ. แบร์เกอร์ จากโรงพยาบาลเด็กมหาวิทยาลัยซูริก ชี้ว่า "ผู้คนมักพูดว่าเด็กเป็นผู้แพร่เชื้อโรคไปสู่ผู้ใหญ่...แต่มันใช้ไม่ได้กับกรณีนี้"

เขาอธิบายต่อว่า "เมื่อผู้ใหญ่และเด็กโตสวมหน้ากาก เว้นระยะห่างทางสังคม และล้างมือสม่ำเสมอ เราไม่พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ หรือเชื้ออาร์เอสวี แต่เมื่อพวกเขาเริ่มหละหลวมในมาตรการเหล่านี้ เชื้อไวรัสก็เริ่มกลับมาระบาดอีกครั้ง และทำให้มีเด็กเล็กต้องเข้าโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น"

 

 

ดังนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ผู้ใหญ่ปฏิบัติตามมาตรป้องกันการติดเชื้อต่อไป และไม่ให้เด็กเล็กอยู่ใกล้กับผู้ที่มีอาการน้ำมูกไหลและไอ เพื่อช่วยลดการระบาดของไวรัสอาร์เอสวี และช่วยไม่ให้โรงพยาบาลต้องรับภาระหนักในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้

 

 

ที่โรงพยาบาลเด็กไมมอนิดีสในนครนิวยอร์กได้ผ่านพ้นช่วงการระบาดรุนแรงของไวรัสอาร์เอสวีมาแล้ว และ พญ. อากาห์ ผู้อำนวยการแผนกโรคติดเชื้อในเด็ก ก็ได้ตระหนักถึงบทเรียนที่โรงพยาบาลต่าง ๆ ต้องปรับตัวในโลกยุคหลังโควิด

 

 

"สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือการต้องเตรียมพร้อม...โลกไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อน ชีวิตได้เปลี่ยนไปแล้ว โลกได้เปลี่ยนไป และเชื้อไวรัสเหล่านี้มีวิวัฒนาการและมีพฤติกรรมในแบบที่ไม่อาจคาดเดาได้"

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง