เชฟดังอังกฤษปลุกเทรนด์กินถั่ว ดีต่อสุขภาพ โลก และเงินในกระเป๋า!

กลุ่มเชฟชื่อดังของอังกฤษนำโดย “เจมี โอลิเวอร์” และ “ฮิวจ์ เฟิร์นลีย์-วิททิงสตอล” ร่วมกับเครือซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ เปิดตัวแคมเปญ “Bang in Some Beans” เพื่อกระตุ้นให้ชาวอังกฤษหันมากินถั่วมากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มการบริโภคทั่วประเทศให้ได้ 2 เท่าภายในปี 2028

การรณรงค์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สหราชอาณาจักรกำลังเผชิญปัญหาด้านสุขภาพจากพฤติกรรมการบริโภคและราคาสินค้าอาหารที่พุ่งสูง ขณะที่นักโภชนาการและนักสิ่งแวดล้อมต่างเห็นพ้องว่า “ถั่ว” คือคำตอบของทั้งสองโจทย์ใหญ่ เพราะเป็นอาหารที่ดีต่อร่างกาย ราคาไม่แพง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

“ถั่ว” ได้รับการยกย่องว่าเป็น “พืชมหัศจรรย์” ที่ให้โปรตีนและไฟเบอร์สูง สามารถเก็บได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น และเหมาะในการแทนที่โปรตีนจากเนื้อสัตว์ในหลายเมนู รายงานจาก The Food Foundation ชี้ว่า ชาวอังกฤษเพียง 4% เท่านั้นที่ได้รับไฟเบอร์ครบตามปริมาณที่แนะนำต่อวัน ขณะที่ถั่วเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดีเยี่ยมและมีราคาเฉลี่ย ถูกกว่าเนื้อเทียมจากพืชถึง 4.5 เท่า โดยขณะนี้มีซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่หนุนเต็มตัว และจะเข้าร่วมโครงการนี้อย่างจริงจัง ซึ่งการร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและคนดังครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ของถั่วจากอาหารราคาถูกในครัวเรือน ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเมนูหลักในร้านอาหารและครัวของผู้บริโภคทุกระดับ

นอกจากคุณค่าทางโภชนาการแล้ว “ถั่ว” ยังมีบทบาทสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม การปลูกถั่วหลายชนิดช่วยตรึงไนโตรเจนในดิน ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้นและลดการใช้ปุ๋ยเคมี อีกทั้งยังใช้ทรัพยากรน้ำและพลังงานน้อยกว่าเนื้อสัตว์หลายเท่า โดยการผลิตเนื้อวัว 1 กิโลกรัมใช้น้ำราว 15,400 ลิตร ขณะที่ถั่วในปริมาณเท่ากันใช้เพียง ประมาณ 5,000 ลิตร

รายงานของ Food Foundation ยังชี้ว่า หากต้องการให้สหราชอาณาจักรบรรลุเป้าหมาย “อาหารเพื่อโลกและสุขภาพ” การบริโภคถั่วในประเทศจำเป็นต้องเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า จากปัจจุบัน

การรณรงค์ “Bang in Some Beans” ไม่ได้มุ่งเพียงเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค แต่ยังต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้เชฟ ร้านอาหาร และผู้ผลิตอาหารรายอื่น ๆ เข้าร่วมขยายตลาดและสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ จากถั่ว ไม่ว่าจะเป็นซุป สตูว์ แกง หรือสลัด เพื่อให้ถั่วกลายเป็นวัตถุดิบหลักของอาหารในชีวิตประจำวัน

องค์กรผู้จัดแคมเปญย้ำว่า ถั่วคืออาหารที่ “ได้ประโยชน์สามทาง” ทั้งต่อสุขภาพ ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อกระเป๋าเงินของผู้บริโภค ในยุคที่ราคาสินค้าอาหารยังคงสูงและความยั่งยืนกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก