ปฏิเสธไม่ได้ว่า เนื้อหมู (Pork) เป็นโปรตีนหลักที่คนทั่วโลกนิยมบริโภคกันมากที่สุด หากไม่นับกลุ่มคนที่ไม่บริโภคเพราะผิดหลักศาสนาหรือระเบียบปฏิบัติในกลุ่มของตน เพราะเนื้อหมูสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด เลี้ยงง่ายและให้ผลผลิตที่เป็นเนื้อรับประทานได้จำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถเก็บไว้ได้นาน ไม่ว่าจะเป็นการแช่แข็ง การถนอมอาหารในรูปแบบอื่น ๆ ทุกวันนี้ทุกครัวเรือนรับประทานเนื้อหมูกัน แต่หลายคนไม่รู้มาก่อนว่ามนุษย์รู้จักเลี้ยงหมูไว้รับประทานกันตั้งแต่เมื่อใด และการนำหมูมาถนอมอาหารครั้งแรกใช้ส่วนใด บทความนี้จึงพาไปท่องประวัติศาสตร์ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหมูให้เข้าใจตรงกันความจริงหลักฐานเรื่องการเลี้ยงหมูมีมาตั้งแต่สมัยอารยธรรมกรีก แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าในบรรดาเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารในสมัยนั้น แทบจะไม่มีหมูเลยในตำราอาหาร จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนสมัยนั้นเลี้ยงหมูไปเพื่ออะไร เมนูเกี่ยวกับหมูมาปรากฎอย่างชัดเจนในจักรวรรดิโรมัน เป็นการนำเนื้อหมูไปเคี่ยวกับลูกฟิก แต่กลับไม่ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับการเลี้ยงหมู จึงมีการสันนิษฐานว่าเนื้อหมูที่ชาวโรมันรับประทานน่าจะมาจากชุมชนอื่น จนมาถึงยุคกลาง มีหลักฐานการเลี้ยงหมูไว้รับประทานทและยังมีการนำเนื้อส่วนท้องหมูมาทำเบคอนโดยเริ่มจากชาวนาแองโกลแซกซอนนั่นเอง แต่สิ่งที่บ่งบอกว่ามนุษย์เริ่มเลี้ยงหมูและมีการขยายพันธุ์อย่างจริงจัง เรียกว่าก่อนหน้านี้อาจจะเลี้ยงไว้เพียงตัวเดียว แต่มาถึงยุคต่อไปที่จะพูดถึงนี้เริ่มมีการเลี้ยงจำนวนมาก ซึ่งเชื่อกันว่าเริ่มมีการเลี้ยงหมูตั้งแต่สมัยที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ออกเดินเรือเพื่อแสวงหาดินแดนใหม่ ๆ บนผืนโลก เพราะมีหลักฐานว่า เรือเที่ยวที่โคลัมบัสจะเดินทางไปทวีปอเมริกา มีพระบัญชาจากควีนอิซซาเบลลาให้นำหมูใส่เรือไปด้วย เพื่อจะนำไปให้ชาวอินเดียนแดงเพาะพันธุ์และเลี้ยงไว้เป็นอาหาร แต่หมูชุดนั้นตายก่อนไปถึง จึงต้องส่งหมูอีกชุดไปกับเรืออีกลำหนึ่งในภายหลัง หมูชุดที่รอดไปถึงทวีปอเมริกาได้มีจำนวนทั้งสิ้น 13 ตัว และชาวอินเดียนแดงสามารถขยายพันธุ์และเลี้ยงไว้รับประทานได้ถึง 700 ตัวในสมัยนั้นคราวนี้การเลี้ยงหมูไว้รับประทานจึงค่อย ๆ แพร่กระจายไปอีกหลายทวีป โดยเฉพาะยุโรปที่การเลี้ยงหมูเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ตามชนบทมีการเลี้ยงหมูแบบไม่ล้อมคอก ปล่อยให้หมูเดินไปเดินมาบริเวณรั้วบ้านของตัวเอง แล้วสมัยก่อนบ้านในยุโรปมักจะสร้างชั้นใต้ดินเอาไว้เก็บเครื่องไม้เครื่องมือและสัมภาระต่าง ๆ ซึ่งสมัยนี้ใช้เป็นที่เก็บไวน์ แต่ยุคนั้นชั้นใต้ดินยังมีประโยชน์อีกอย่างคือเอาไว้เลี้ยงหมู แต่กลับมีปัญหาทั้งเรื่องกลิ่น ปัญหาสุขอนามัย หลายบ้านที่ปล่อยหมูให้เดินเพ่นพ่านก็จะถูกเพื่อนบ้านร้องเรียน จนต้องมีกฎหมายห้ามเลี้ยงหมูแบบไม่ล้อมคอกขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18หลังจากนั้นเกษตรกรจึงต้องเลี้ยงหมูแบบอุตสาหกรรม นั่นคือการเลี้ยงในเล้าหรือคอกที่จัดสัดส่วนเอาไว้ไม่ให้กลิ่นและเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน โดยกฎหมายให้รับหมูมาเพียงหนึ่งคู่แล้วขยายพันธุ์เอาเอง เกษตรกรจึงต้องทำให้หมูผสมพันธุ์ตามช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อให้แม่หมูออกลูกในช่วงเดือนฤดูใบไม้ผลิ หลังจากนั้นจึงขุนลูกหมูให้อ้วนพีตลอดหน้าร้อน แต่ละชุมชนมีอาหารให้ลูกหมูแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะให้หมูกินพวกมัน ลูกไม้ เมล็ดข้าวและธัญพืชที่นำไปต้มให้เหลว เมื่อถึงฤดูหนาวจึงได้เวลาฆ่าหมูที่ขุนไว้ เพื่อเก็บเนื้อไว้รับประทานตลอดหน้าหนาวที่ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ตั้งแต่นั้นมา เนื้อหมู จึงกลายเป็นอาหารหลักที่ทั่วโลกนิยมรับประทาน ในยุคแรกการนำหมูมาปรุงอาหารไม่ได้มีขั้นตอนพิสดารมากนัก เป็นการใช้เนื้อมาต้มหรือเคี่ยวกับสมุนไพรให้นุ่ม เพื่อจะเก็บไว้รับประทานได้หลายมื้อ หรือจะนำมาย่างกินแบบง่าย ๆ ซึ่งตอนหลังได้พัฒนามาเป็นสเต็ก นอกจากนี้ส่วนท้องหมูที่มีไขมันมาก ผู้คนยังรู้จักนำมาถนอมอาหาร โดยแล่ส่วนท้องหมูเป็นเส้นบาง ๆ ที่เราเรียกกันว่า เบคอน (Bacon) ซึ่งจะนำไปตากแห้งแล้วกักตุนเอาไว้รับประทานในยามขาดแคลนอาหาร เรียกว่ากว่าที่หมูจะกลายมาเป็นอาหารหลักของพวกเราในวันนี้ ต้องผ่านการลองผิดลองถูกจากเกษตรกรมาหลายรูปแบบ ต้องขอบคุณคนยุคนั้นจริง ๆ ที่ทำให้เรารู้ว่าเนื้อหมูทุกส่วนมันอร่อยขนาดนี้รูปภาพหน้าปก โดย Kenneth Schipper Vera : Unsplashภาพประกอบที่ 1 โดย Michael Weibel : Unsplashภาพประกอบที่ 2 โดย Nicolas Castez : Unsplashภาพประกอบที่ 3 โดย Andrew Ridley : Unsplash