น้ำเหนือหลากลงสู่ลุ่มเจ้าพระยา กรมชลฯ แจ้งเตือน 11 จังหวัดเฝ้าระวังด่วน

ปริมาณน้ำพุ่งสูงเกินคาด เขื่อนเจ้าพระยาเตรียมเพิ่มการระบาย
ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 แสดงให้เห็นว่าปริมาณน้ำเหนือที่ไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C2 อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ อยู่ที่ประมาณ 1,000-1,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เมื่อรวมกับน้ำจากลำน้ำสาขาอีก 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยามีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงถึง 1,100-1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
สถานการณ์ดังกล่าวบังคับให้กรมชลประทานต้องเร่งเพิ่มการระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 700-1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดว่าจะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 1,000-1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในช่วง 1-3 วันข้างหน้า เพื่อลดแรงกดดันต่อพื้นที่เหนือเขื่อนและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังในบริเวณดังกล่าว
พื้นที่ลุ่มต่ำเตรียมรับผลกระทบ น้ำอาจสูงขึ้นกว่า 1 เมตร
การเพิ่มปริมาณการระบายน้ำครั้งนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนในบริเวณลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ โดยเฉพาะคลองโผงเผงในจังหวัดอ่างทอง คลองบางบาลในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และแม่น้ำน้อยในอำเภอเสนาและอำเภอผักไห่ ซึ่งจะมีระดับน้ำสูงขึ้นจากปัจจุบันอีก 50 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร 30 เซนติเมตร
สถานีวัดระดับน้ำท้ายเขื่อนที่อำเภอสรรพยาวัดค่าได้ล่าสุดที่ 9.78 เมตร และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นต่อเนื่อง สถานการณ์นี้เป็นผลมาจากการที่กรมชลประทานต้องเลือกระหว่างการปล่อยให้น้ำท่วมพื้นที่เหนือเขื่อนหรือควบคุมสถานการณ์ด้วยการระบายน้ำลงสู่พื้นที่ท้ายเขื่อน
11 จังหวัดเข้าสู่ภาวะเฝ้าระวัง หน่วยงานเร่งเตรียมความพร้อม
กรมชลประทานได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 11 แห่ง ประกอบด้วย อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร ให้เตรียมแผนรับมือและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
การแจ้งเตือนครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากหากปริมาณน้ำเหนือเพิ่มขึ้นจนอัตราการไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเกิน 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะมีการแจ้งเตือนระดับสูงขึ้นทันที ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงมากขึ้นต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน
ประชาชนพื้นที่เสี่ยงเตรียมรับมือ หน่วยงานเร่งติดตามสถานการณ์
ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ ต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำที่อาจเกิดขึ้นในช่วง 3-5 วันข้างหน้า การติดตามข่าวสารและการเตรียมแผนอพยพชั่วคราวจึงเป็นสิ่งจำเป็น
สถานการณ์น้ำลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการน้ำของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกหนักในพื้นที่ต้นน้ำ การตัดสินใจของกรมชลประทานในการเพิ่มการระบายน้ำจึงเป็นมาตรการป้องกันที่จำเป็น แม้จะส่งผลกระทบต่อชุมชนท้ายเขื่อนในระยะสั้น
สถานการณ์น้ำเขื่อนทั่วประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียดในลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่ภาพรวมสถานการณ์น้ำในเขื่อนทั่วประเทศยังคงอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ข้อมูลจากกรมชลประทานระบุว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศมีน้ำรวม 42,902 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 56% ของความจุอ่างทั้งหมด
จากจำนวนดังกล่าว ปริมาณน้ำที่สามารถนำมาใช้ได้จริงมีอยู่ 18,958 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 36% ของความจุอ่าง ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลางและยังสามารถรองรับน้ำฝนในฤดูฝนปีนี้ได้อย่างเพียงพอ
ภาคใต้เก็บกักน้ำได้ดี เขื่อนหลักเต็มกว่า 60%
เมื่อพิจารณาตามภูมิภาค พบว่าภาคใต้มีสถานการณ์น้ำที่ดีที่สุด โดยมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ 4,987 ล้านลูกบาศก์เมตร จากความจุรวม 8,194 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 61% ของความจุ เขื่อนสำคัญในภาคใต้ เช่น เขื่อนรัชชประภามีน้ำในอ่าง 3,646 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 62% ของความจุ ขณะที่เขื่อนบางลางมีน้ำในอ่าง 991 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 78% ของความจุ
ปริมาณน้ำในระดับดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเขื่อนในภาคใต้สามารถรองรับน้ำฝนเพิ่มเติมได้อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งปีหน้า
ความท้าทายในการบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูฝน
แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่การที่ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ส่งผลให้น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปรับแผนการระบายน้ำอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยง
สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมและการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากแม้ว่าระดับน้ำในเขื่อนจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่การกระจายตัวของน้ำฝนที่ไม่สม่ำเสมออาจสร้างปัญหาเฉพาะพื้นที่ได้
การเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและการเตรียมความพร้อมของทุกฝ่ายจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในครั้งนี้