Editor's Pick: ด้านมืดสอบ “ซูนึง” วันที่เงียบ-กดดันสุดของวัยรุ่นเกาหลีใต้

“ซูนึง” คือ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ใหญ่ และเครียดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่น่าจะเป็นรองแค่ “เกาเข่า” ของจีนเท่านั้น

“ซูนึง” คือ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของนักเรียนชั้น ม.6 ในเกาหลีใต้ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าการแข่งขันสูงติดอันดับต้น ๆ ตามแบบฉบับการเรียนการสอนของชาวเอเชีเรา

ปีนี้ จัดขึ้นวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีเด็กสอบถึง 554,174 คน สูงกว่าปีก่อนถึง 6% เนื่องจากมีเด็กเกิดเมื่อปี 2007 มากเป็นประวัติการณ์

วันที่สอบ “ซูนึง”นับว่าเป็นวันที่ “เงียบ” ที่สุดของปีในเกาหลีใต้ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะจะมีการลดจำนวนเที่ยวบินลง เพื่อไม่ให้เสียงของเครื่องบินไปรบกวนทำลายสมาธิของเด็กนักเรียน

โดยเฉพาะในเวลา 13.05-13.40 น. จะเป็น 35 นาทีที่เด็ก ๆ ทำการสอบ “ฟังภาษาอังกฤษ” ที่สั่งงดการขึ้นบินและการลงจอดของเครื่องบินทั่วประเทศเลยทีเดียว - ซึ่งทำให้ต้องมีการปรับเที่ยวบินทั้งหมด 140 เที่ยว  หรือเที่ยวบินไหนที่บินอยู่บนฟ้าอยู่แล้วก็ต้องอยู่ที่ระดับความสูง 3 กิโลเมตร

พื้นที่ก่อสร้างทั้งหมดก็ต้องระงับการทำงานช่วงเวลานั้นด้วยเช่นกัน 

ตลาดหุ้นก็ต้องเลื่อนเปิดสายขึ้น เพื่อไม่ให้การจราจรติดขัด เด็ก ๆ จะได้ไปสอบได้ทันเวลา

แต่รถไฟใต้ดินจะต้องเพิ่มการให้บริการ

มีแม้แกระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาคอยให้บริการด้วย

เพราะนี่คือช่วงเวลาของการ “ชี้ชะตา” การเข้ามหาวิทยาลัยของเยาวชนเกาหลีใต้เลยทีเดียว

พวกเขาต้องนั่งอยู่ในห้องสอบ 8 ชั่วโมง (ส่วนคนตาบอด ต้องใช้เวลาทำข้อสอบทั้งหมด 13 ชั่วโมง)  ทั้งวิชาภาษาเกาหลี, อังกฤษ, คณิตศาสตร์, ประวัติศาสตร์เกาหลี และวิชาหลักอื่น ๆ 

และปีที่แล้ว (2024) ก็มีข่าวว่า เด็กนักเรียนไปฟ้องรัฐบาล จากการที่ครูกดหยุดการสอบ 90 วินาที ก่อนที่จะหมดเวลาจริง ทำให้พวกเขาขาดโอกาสในการทำข้อสอบต่อ  - พร้อมเรียกค่าเสียหาย 20 ล้านวอนต่อคน (กว่า 4.4 แสนบาท) ซึ่งเป็นค่าเรียนพิเศษต่ออีกปี เพื่อสอบซูนึงใหม่ในปีถัดไป

“วันชี้ชะตา” จากความพยายามนับ 10 ปี 

ในช่วงเวลาก่อนจะสอบ “ซูนึง” พ่อแม่บางคนถึงกับไปเข้าวัดเข้าวา เข้าโบสถ์ เพื่อสวดมนต์ บางคนไปสวดทุกวันตั้งแต่ 100 วันก่อนวันสอบซูนึง

สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านการศึกษาของเกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศในเอเชีย กับสังคมที่แข่งขันสูงมากเหลือเกิน

และอย่างที่เราเคยได้เห็นในซีรีย์เกาหลีหลาย ๆ เรื่อง บ่งชี้ได้ค่อนข้างชัดถึงสภาพสังคมที่แข่งขัน และแบ่งแยกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเมื่อคุณมาจากสถาบันที่ไร้ชื่อ .. โอกาสในการทำงาน และความก้าวหน้าในชีวิต ก็แทบจะไม่มี

แต่ในทางกลับกัน ถ้าลูก ๆ คุณสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ สถาบันชั้นนำของประเทศ ประตูแห่งโอกาสก็จะเปิดออก โดยเฉพาะ "SKY"  หรือ Seoul National University, Korea University and Yonsei University

นั่นจึงทำให้เกิดคำที่เรียกขาน “พ่อแม่” ที่เรียกกันว่า “Dochi moms” และ “helicopter parents” 

Dochi moms ในบริบทการศึกษาของเกาหลี จะหมายถึง “คุณแม่ที่หมกมุ่นเรื่องการเรียนของลูกแบบสุดโต่ง”  ที่จะคอยผลักดัน อัดตาราเงรียน ซื้อคอร์สติว และจับลูกเข้าแข่งขันตั้งแต่ปฐมวัยเพื่อปูทางสู่มหาวิทยาลัยระดับท็ป SKY ที่กล่าวไป

ส่วน Helicopter parents ก็คือพ่อแม่ที่คอยบินบนเวียนอยู่เหนือลูก ไม่ปล่อยพวกเขาเสียที

ด้านมืดของ “ซูนึง” ความกดดันที่พรากชีวิต?

มีเสียงวิจารณ์ “ซูนึง” ว่า นี่เป็นหนึ่งในการทดสอบ “ระบบการเงิน” เสียมากกว่า เหมือนกับการคัดว่า พ่อแม่คนไหนจะมีเงินมากพอที่จะส่งลูกไปเรียนกวดวิชา เพื่อปั้นลูกให้ได้เปรียบ 

อีกทั้งการสอบแบบนี้ จะเป็นการสร้างระบบที่ตีตราเด็ก ๆ ตั้งแต่อายุน้อย ๆ ว่าเป็น “ผู้ชนะ” หรือ “ผู้แพ้” ทั้งในด้านการศึกษา และในชีวิต  ที่อิงจากผลงานเพียงวันเดียวของการสอบซูนึงนี้เท่านั้น 

ความกดดันเหล่านี้ มีผลให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดทุกปีจากตัวเลขอัตราการฆ่าตัวตายของเด็กและเยาวชน  

ในปี 2023 พบเด็กและเยาวชนฆ่าตัวตายถึง 3.9 ต่อประชากร 1 แสนคน สูงที่สุดในรอบ 23 ปี นับแต่ปี 2000  / หรือราว 9.9 คน ต่อประชากรวัยเด็ก-เยาวชน 1 แสนคน 

นับว่าสูงสุดในกลุ่มประเทศ OECD 

ที่สำคัญ คนที่เลือกจะฆ่าตัวตาย บางคนมีสาเหตุตรงมาจาก “ซูนึง” ที่ทนต่อ “ความล้มเหลว” นี้ไม่ได้

แต่แม้จะเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ได้ ก็อาจจะยังไม่ใช่ตัวรับประกันว่าคุณจะมีงานที่ดีทำได้

เกาหลีใต้ยังพบอัตราการว่างงานของเด็กจบใหม่พุ่งสุงขึ้นอย่างมาก ในขณะที่เทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นไปทุกวัน ทำให้เริ่มมีกระแส “resting youth”  คือ ไม่ทำงาน และไม่หางาน

ข้อมูลเดือนตุลาคม 2025 มีคนในวัย 20 กว่าปี ราว 409,000 คน และ ในวัย 30 กว่าปี ราว 334,000 คน อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “resting” 

จะผ่านไปอีกกี่ปี การสอบ “ซูนึง” ก็ยังกลายเป็นข่าวใหญ่ของเกาหลีใต้ในทุก ๆ ปี  - และแม้ว่ารัฐบาลเกาหลีใต้จะรับรู้ดีถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และพยายามจะแก้ ไม่ว่าจะด้วยการปราบ “โรงเรียนสอนพิเศษ” หรือ ให้คะแนนเด็ก ๆ จากกิจกรรมอื่น นอกเหนือจากการสอบซูนึงเพียงอย่างเดียว แต่นั่น ไม่เคยทำให้ปัญหาความเครียด ความกดดันระบบที่แข่งขันสูงเช่นนี้ลดลงได้เลยแม้แต่น้อย

และนับวัน.. ก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น