นายกฯ สั่งจัดการเด็ดขาด ปมเรือนจำพิเศษฯ เอื้อประโยชน์นักโทษชาวจีน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการไปยัง พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่และไม่มีการละเว้น กรณีพบเจ้าหน้าที่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มผู้ต้องขังชาวจีน

นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ก่อนหน้านี้มีการส่งชาวจีนซึ่งเป็นแกนนำไปรับโทษที่ประเทศต้นทางหลายราย รวมถึงมีการยึดทรัพย์และถอนสัญชาติด้วย จึงขอให้มั่นใจว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะไม่เพิกเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้น

รมว.ยุติธรรม รับไม่ได้เตรียมลงพื้นที่เอง พรุ่งนี้

ด้าน พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้นัดประชุมด่วนคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ "รับไม่ได้" ถือเป็นการเหยียบย่ำและสร้างความเสื่อมเสียต่อกระบวนการยุติธรรม

เบื้องต้นคณะกรรมการฯ ได้สอบสวนไปส่วนหนึ่งแล้ว ทั้งกรณีผู้หญิงที่เข้าไปในเขตราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ ซึ่งมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ที่เป็นเวรตั้งแต่หน้าประตูจนถึงจุดเกิดเหตุมีประมาณ 6-7 คน

สำหรับรายละเอียดสำคัญจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผู้ต้องขังจีน มีประมาณ 200 คนในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่พบความผิดเพียง 2 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล โดยได้มีการย้ายผู้ต้องขังทั้งสองรายไปยังเรือนจำใกล้เคียงแล้ว

กรณีนางแบบชาวจีนสองคนที่เข้าไปในเขตราชทัณฑ์ ถูกสอบปากคำและเก็บข้อมูลพาสปอร์ตแล้ว ทั้งคู่ปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าพบผู้ต้องขัง โดยอ้างว่าเข้าพบเจ้าหน้าที่ โดยจุดเกิดเหตุคือห้องของผู้คุม ที่มีการดัดแปลงให้มีลักษณะเหมือนห้องรับรอง ขนาดประมาณ 22 ตารางเมตร

ขณะที้หลักฐานจากกล้องวงจรปิดถูกลบออกไป แต่สามารถกู้ภาพมาได้บางส่วน และมีพยานหลักฐานเพียงพอสำหรับการสอบสวนเพิ่มเติม พลตำรวจโท รุทธพล เผยอีกว่า ในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ย. 68) ตนจะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง เพื่อให้ทราบรายละเอียดของห้อง พื้นที่ และพฤติการณ์ต่าง ๆ มากขึ้น

กำชับได้ผลสอบ 28 พ.ย. สั่งส่ง DSI ร่วมสืบสวน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กำชับให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการสอบสวนให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ส่งสำนวนนี้ไปยัง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้ร่วมทำการสืบสวนด้วย พร้อมสั่งการให้มีการตรวจสอบทั้งระบบในเรือนจำทุกแห่ง ว่ามีการกระทำในลักษณะนี้อีกหรือไม่