เราสามารถคำนวณอายุใน Excel ได้ โดยเราต้องมีวันเกิดหรือวันที่เริ่มทำงานหรือวันอะไรก็ตามเป็นวันตั้งต้น และวันสุดท้ายที่จะใช้ในการเปรียบเทียบหรือจะใช้วันที่ปัจจุบันก็ได้ไปลองดูตัวอย่างกันเลยจะได้เข้าใจง่ายและลองทำตามได้ตัวอย่างที่ 1 คำนวณอายุโดยใช้สูตร (วันที่ปัจจุบัน - วันเกิด) / 365.25ใน Excel เราสามารถคำนวณอายุของบุคคลได้โดยเรารู้วันเกิดและวันที่ปัจจุบัน ลองดูจากตัวอย่างด้านล่างนะตอนนี้มีวันเกิดและวันที่ปัจจุบันแล้วต้องการหาอายุโดยใช้สูตร (วันที่ปัจจุบัน - วันเกิด) / 365.25มีคำถามว่าทำไมถึงต้องหารด้วยตัวเลข 365.25 เพราะว่าทุกๆ 4 ปีเราจะพบกับปีอธิกสุรทินหรือปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันนั่นเองเลยต้องใช้การหารด้วย 365.25 ส่วนผลลัพธ์นั้นอาจจะไม่ใช่ตัวเลขเป็นจำนวนเต็มเรากก็จะใช้การปัดเศษโดยจะปัดลงหรือปัดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของเรานะครับ ตัวอย่างที่ 2 คำนวณอายุโดยใช้คำสั่ง DATEDIFคำสั่ง DATEDIF เป็นคำสั่งของ Excel ที่จะคืนค่าผลต่างระหว่างวันที่สองวันที่โดยจะคืนค่ากลับมาเป็นปี เดือนหรือวันแล้วแต่เรากำหนดโดย DATEDIF จะเป็นคำสั่งที่ซ่อนไว้ของ Excel แต่เราก็สามารถเรียกใช้งานได้นะครับ เท่าที่ทดลองใช้ Excel จะไม่พบคำสั่งนี้ตั้งแต่ Excel รุ่น 2010 หรือ 2013 เป็นต้นมาแต่ก็ยังสามารถเรียกใช้งานได้นะคำสั่ง DATEDIF จะมีหน้าตาดังภาพโดยที่start_date คือวันที่เริ่มต้นที่จะใช้ในการเปรียบเทียบ (ทั้งนี้ต้องใช้วันที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ end_date เท่านั้นนะครับ ไม่เช่นนั้นจะส่งค่าเป็นข้อความผิดพลาด #NUM กลับมาให้เรา)end_date คือวันที่ต้องการนำมาเปรียบเทียบunit คือหน่วยที่ต้องการคืนค่ากลับมาโดยมีตัวเลือกทางด้านล่างY คืนค่ากลับมาเป็นปีM คืนค่ากลับมาเป็นเดือนD คืนค่ากลับมาเป็นจำนวนวันMD (Month Day Unit) จะหาค่าความแตกต่างในจำนวนวัน โดยจะไม่สนใจเดือนและปี (ง่ายๆ ก็คือถ้านับเดือนและปีเป็นจำนวนเต็มแล้วเหลือเศษของวันอยู่เท่าใด)YM (Year Month Unit) จะหาค่าความแตกต่างในจำนวนเดือน โดยไม่สนใจวันและปี (คือนับปีเป็นจำนวนเต็มแล้วหาว่าเหลือเศษของเดือนอยู่เท่าใด)YD (Year Date Unit) จะหาค่าความแตกต่างในจำนวนวัน โดยไม่สนใจปี (คือนับปีเป็นจำนวนเต็มเรียบร้อยแล้วดูว่าเหลือเศษของปีอยู่เท่าใด)จากคำอธิบายแล้วอาจจะงง ไปลองดูตัวอย่างกันนะสมมติมีข้อมูลลักษณะแบบนี้แล้วต้องการหาอายุของพนักงานเป็นปีเดือนและวันมาลองคำนวณปี (Year) ที่คอลัมน์ E โดยใช้สูตร =DATEDIF(C2, D2, “Y”), โดยที่ C2 คือวันที่เกิดของพนักงานและ D2 คือวันที่ปัจจุบันโดยเขียนเป็นคำสั่ง =TODAY() ไว้ และเราจะใส่ unit ในคำสั่ง DATEDIF เป็น "Y" เพื่อให้คำสั่งส่งค่าคืนมาเป็นปีลองหาจำนวนเดือนด้วยสูตร =DATEDIF(C2, D2, "YM") โดย YM คือให้ DATEDIF ส่งค่ากลับมาเป็นผลต่างของจำนวนเดือนกันแล้วทำไมถึงไม่ใช้ M ก็เห็นว่า M ก็คืนค่ามาเป็นเดือน ที่เราไม่ใส่ M นั้นก็เพราะว่า M จะคำนวณเดือนทั้งหมด ไม่ได้คำนวณเศษเดือนที่เหลือเหมือน YM (ยังไงเอาไปลองกันดูนะครับ อธิบายอาจจะเข้าใจยาก)ลองหาจำนวนเศษของวันโดยการใช้สูตร =DATEDIF(C2, D2, "MD") โดยที่ MD คือการบอกคำสั่ง DATEDIF ว่าให้หาเศษของวันที่เหลือหลังจากการเปรียบเทียบปีกับเดือนเรียบร้อยแล้วจากตัวอย่างน่าจะเอาไปประยุกต์ใช้กันพอได้แล้วนะครับ ขอให้สนุกกับคำสั่งต่างๆ ใน Excel นะครับ 😊 ภาพโดยนักเขียนหมีขั้วโลก ทอดกรอบ〔´(エ)`〕เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !