ตั้งแต่เด็กพวกเราทุกคนต่างก็ท่องจำประวัติศาสตร์ชาติกันมาอย่างคล่องแคล่ว กรุงสุโขทัย มายังกรุงศรีอยุธยา เรื่อยมาจนถึงกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ เส้นทางจากราชธานีในอดีตก่อนจะกลายมาเป็นประเทศไทยแบบทุกวันนี้ เต็มไปด้วยวิถีชีวิตและเรื่องราวต่าง ๆ ให้เราได้เรียนรู้อีกมากมาย นอกจากโบราณสถานและโบราณวัตถุที่หลงเหลืออยู่ สิ่งสำคัญอีกอย่างที่เรามักใช้ในการย้อนไปดูเรื่องราวในอดีตคือ บันทึกของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจดหมายเหตุลาลูแบร์อันเลื่องชื่อ ที่บรรยายกรุงศรีอยุธยาเอาไว้ทุกระเบียดนิ้ว ส่วนครั้งนี้เราลองมาดูมุมที่ชาวจีนบันทึกเรื่องราวในกรุงศรีอยุธยาเอาไว้ ว่าจะเหมือนหรือต่างจากภาพจำที่เราเคยเรียนมาอย่างไรบ้างเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ ได้จากหนังสือเล่มหนึ่งที่ผู้เขียนเคยอ่านสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เป็นจดหมายเหตุของจีนที่นำมาแปลและเรียบเรียงโดย ขุนเจนจีนอักษร ชื่อหนังสือเรื่องพระราชไมตรีในระหว่างกรุงจีนกับกรุงสยาม ถือเป็นหนังสือหายากอีกเล่มหนึ่งที่บรรยายสภาพบ้านเมืองกรุงศรีอยุธยาไว้อย่างละเอียด คนจีนเรียกกรุงศรีอยุธยาว่า 'เสี้ยมหลอก๊ก' กล่าวถึงภูมิประเทศว่าทิศไหนอยู่ติดกับเมืองใดบ้าง ยังบอกอีกว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองที่ฤดูกาลแปรปรวน พื้นเปียกแฉะตลอดทั้งปี เพราะในเมืองมีคลองอยู่รอบ ๆ แม้ว่าฝนจะไม่ตกแต่น้ำมนคลองก็เอ่อล้นตลิ่งอยู่บ่อยครั้ง ประชาชนส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ อาศัยอยู่ในบ้านที่ยกสูงจากพื้นดินเพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงศรีอยุธยามีประตูเมืองทั้งหมด 8 ประตู มีกำแพงรอบเมืองหลวง ซึ่งน่าจะหมายถึงที่อยู่ของพระมหากษัตริย์ บันทึกกล่าวไว้ว่ากำแพงเมืองก่อด้วยอิฐอย่างดี คนจีนเรียกพระมหากษัตริย์ว่า 'ก๊กอ๋อง' ซึ่งประทับอยู่ในตำหนักทางทิศตะวันตก พระที่นั่งต่าง ๆ ออกแบบได้อย่างวิจิตรบรรจง ผนังเขียนด้วยทอง มุงหลังคากระเบื้อง จำพวกลูกกรงหรือส่วนอื่น ๆ ของพระที่นั่งมักมีการใช้ทองเหลืองประกอบ นอกจากนี้ เสี้ยมหลอก๊กยังมีวัดจำนวนมาก ผู้คนนับถือพระพุทธศาสนา พอถึงช่วงวัยหนึ่งผู้ชายเกือบทุกคนจะไปบวชเป็นพระ ผู้หญิงไปบวชเป็นนางชี ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ใหญ่ เพราะเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเคยเสวยชาติเป็นวัวมาก่อน ซึ่งเรื่องนี้ตรงกับจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ที่กล่าวว่าคนกรุงศรีฯจะไม่ยอมล้มวัวง่าย ๆ หากมีคนเอามาฝากจะกินเฉพาะส่วนเครื่องในเท่านั้นพระมหากษัตริย์จะมีขุนนางทั้งหมดเก้าตำแหน่ง ซึ่งตำแหน่งขุนนางจะได้จากการเลือกราษฎรในหมู่บ้านให้มาทำการสอบไล่ เป็นข้อสอบวัดความรู้เกี่ยวกับการปกครองบ้านเมือง เปิดสอบสามปีครั้ง หากอยากเป็นขุนนางต้องทำข้อสอบให้ถูกต้องทั้งหมด ขุนนางจะมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของราษฎร เวลาพระมหากษัตริย์จะออกว่าราชการ จะใช้พระราชยานหรือช้างตามแต่อารมณ์ มีการปูพรมในสถานที่ว่าราชการ ขุนนางนั่งบริเวณพื้นพรม ราษฎรนั่งนอกพื้นพรม กราบไหว้พระมหากษัตริย์โดยประนมมือถึงศีรษะแล้วกราบราบไปกับพื้น มีการถวายดอกไม้สดจำนวนมาก และพระมหากษัตริย์จะให้ขุนนางชี้แจงเรื่องราวทุกข์สุขของราษฎร พร้อมกับชี้แนะแนวทางและตัดสินปัญหาในบางครั้ง เมื่อว่าราชการเสร็จจะเสด็จกลับไปยังพระที่นั่งทันทีเรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างของวิถีชีวิตชาวกรุงศรีฯคือ การจัดการศพ จดหมายเหตุชาวจีนบันทึกว่า เมื่อมีคนตายจะเอาน้ำปรอทกรอกปาก แล้วนำร่างไปวางไว้ริมท่าน้ำใหญ่ เพื่อให้แร้งมาจิกกิน แล้วนำกระดูกไปทิ้งในแม่น้ำ ทำให้เห็นว่าถึงแม้กรุงศรีอยุธยาจะมีวัดจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้มีไว้ทำพิธีศพแบบสมัยนี้ แต่วัดใช้เป็นสถานที่ทำบุญและศึกษาพระธรรมเท่านั้น นอกจากนี้ยังบันทึกไว้อีกว่ากรุงศรีอยุธยามีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีไม้หอมสีเงินและสีทอง อำพัน ไม้กฤษณา งาช้าง ไม้แก่นดำ กระวาน พริก ทองคำก้อน พลอย ตะกั่ว และผลไม้หลายชนิด ยังมีสัตว์หายากจำพวกแรด นกแก้วห้าสี นกยูง และเต่าหกขา ซึ่งสิ่งของเหล่านี้มักใช้เป็นเครื่องบรรณาการส่งมอบให้กับจีนนั่นเองยังมีอีกหลายเรื่องราวที่จีนบันทึกเอาไว้ หากใครสนใจลองหาหนังสือเรื่องพระราชไมตรีในระหว่างกรุงจีนกับกรุงสยามมาอ่านดู จะเห็นว่าส่วนใหญ่บันทึกของชาวต่างชาติจะกล่าวถึงกรุงศรีอยุธยาว่าเป็นเมืองที่รุ่งเรือง ผู้คนกินดีมีสุข มีศาสนาอุ้มชูทำให้คนจิตใจดี เรียกว่าเป็นอีกมุมหนึ่งที่เราได้เรียนรู้ ทำให้รู้สึกเห็นภาพเหมือนได้ย้อนไปยังยุคสมัยนั้นจริง ๆ ปัจจุบันมีวัดวาอารามหลายแห่งที่ยังคงหลงเหลือเป็นแหล่งเรียนรู้ให้เราได้ศึกษา กว่าจะมาเป็นประเทศไทยอย่างทุกวันนี้ ถือว่าบรรพบุรุษของเราได้สร้างสรรค์วัฒนธรรมเอาไว้มากมายหลายอย่าง จนกลายเป็นวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์จนถึงปัจจุบันเครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Peggy_Marco : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 1 โดย Terimakasih0 : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 2 โดย 41330 : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 3 โดย Victoria_Borodinova : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 4 โดย Dashan99 : PIXABAY ข้อมูลประกอบบทความ- หนังสือเรื่องพระราชไมตรีในระหว่างกรุงจีนกับกรุงสยาม - ขุนเจนจีนอักษร