รีเซต

“โซลาร์รูฟท็อป” คนไทยสนใจแต่ติดตั้งน้อย

“โซลาร์รูฟท็อป” คนไทยสนใจแต่ติดตั้งน้อย
TNN ช่อง16
6 ตุลาคม 2568 ( 07:19 )
16

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ออกออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับโซลาร์รูฟท็อป เพื่อมองว่า   ผู้บริโภคไทยคิดอย่างไรกับโซลาร์รูฟท็อป พร้อมทั้งเจาะอินไซต์สำคัญที่ภาครัฐและผู้ประกอบการต้องรู้

ถ้าดูการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar rooftop) สำหรับที่อยู่อาศัยในไทย พบว่า ยังต่ำกว่าศักยภาพมาก โดยกระทรวงพลังงาน เคยประเมินว่า ศักยภาพการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป สำหรับที่อยู่อาศัยอยู่ที่ราว 121,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ปริมาณการติดตั้งสะสมยังอยู่เพียง 1,893 เมกะวัตต์ หรือประมาณร้อยละ 1.6 ของศักยภาพทั้งหมด ซึ่งปริมาณการติดตั้งที่ยังต่ำกว่าศักยภาพค่อนข้างมาก สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภค ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจนำเทคโนโลยีมาใช้ กำลังเผชิญปัญหาหรืออุปสรรคในการติดตั้ง

ถ้าไปดูความสนใจและอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจติดตั้ง Solar rooftop ของผู้บริโภคไทย SCB EIC ระบุว่า ผู้บริโภคจำนวนมากสนใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ดูได้จากผลสำรวจของ SCB EIC (ของผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 2,257 ราย) ในช่วงต้นปี 2568พบว่าร้อยละ 80 มีความสนใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจดำเนินการติดตั้ง ส่วนร้อยละ 9 เป็นกลุ่มที่ติดตั้งแล้ว / ร้อยละ 3 อยู่ระหว่างการติดตั้ง และร้อยละ 8 ไม่สนใจติดตั้ง  

จากผลสำรวจ พบว่าผู้บริโภคเผชิญอุปสรรคสำคัญ 4 ด้าน ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจติดตั้ง คือ

1. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือและราคาที่เหมาะสมของผู้ให้บริการติดตั้ง ซึ่งประชาชนจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ชัดเจนและเปรียบเทียบได้

 2. การเลือกเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายและต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ เช่น ชนิดของแผงโซลาร์เซลล์ อินเวอร์เตอร์และระบบที่เหมาะสมกับที่อยู่อาศัย 

3. ความยุ่งยากของกระบวนการขออนุญาตจากภาครัฐ ทั้งการติดต่อหลายหน่วยงาน, การเตรียมเอกสาร และการนัดตรวจสอบสถานที่ติดตั้ง ซึ่งยังเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค 

5. ข้อจำกัดด้านเงินทุน โดยกว่าร้อยละ 50 ของผู้ติดตั้งใช้เงินสดและต้องจัดหาเงินส่วนตัวเพื่อจ่ายเองซึ่งเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการหาแหล่งเงินทุน สะท้อนถึงความต้องการแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่าย 

พาไปดูว่า ในการติดตั้ง Solar rooftop ผู้บริโภคต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนเรื่องใดมากที่สุด จากผลสำรวจของ  SCB EIC พบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “การให้เงินอุดหนุนการติดตั้ง” มากที่สุด รองลงมาคือ “การลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง” 

ขณะที่ความต้องการอื่น ๆ ที่ผู้บริโภคอยากให้รัฐสนับสนุนเพิ่มเติม ได้แก่ “การปลดล็อกการขายไฟฟ้าได้อย่างเสรี การเสนอขายระบบโซลาร์รูฟท็อปทางเลือกในราคาที่ถูกกว่าตลาด” เช่น  ระบบโซลาร์รูฟท็อปที่ผลิตโดยคนไทย ภายใต้การสนับสนุนเงินทุนวิจัยจากภาครัฐ “การรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินในอัตราเดียวกับราคาขายปลีก และ การผ่อนปรนขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้ง”

จากผลสำรวจที่ออกมา สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคต้องการแพ็กเกจนโยบาย ที่ครบถ้วน ทั้งในมิติของต้นทุน การเข้าถึงระบบ และสิทธิประโยชน์หลังการติดตั้ง

สำหรับผู้ให้บริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป การสร้างความน่าเชื่อถือ การเสนอแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงได้ และการอำนวยความสะดวกในการติดตั้ง เป็นแนวทางสำคัญเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค โดย SCB EIC เสนอแนวทาง ดังนี้

1. การสร้างความน่าเชื่อถือผ่านการนำเสนอให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการติดตั้ง โดยสามารถให้คำแนะนำที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เสนอรายละเอียดผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและราคาที่โปร่งใส ตลอดจนมีการรับประกันและบริการหลังการขาย

2. การพัฒนาแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่ายผ่านการร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการติดตั้งและสถาบันการเงิน เช่น สินเชื่อเช่าซื้อดอกเบี้ยต่ำสำหรับติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคที่ต้องการติดตั้ง แต่มีข้อจำกัดด้านเงินทุน ความร่วมมือของแหล่งทุนจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น เช่น บริษัทที่ติดตั้ง มีความร่วมมือกับสถาบันการเงิน เสนอโปรโมชั่นในการติดตั้ง พร้อมโปรโมชั่นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ให้เป็นแพคเกจเดียวกัน ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจง่ายขึ้น

3. ผู้ให้บริการติดตั้งควรมีบริการดำเนินการขออนุญาตติดตั้งแทนผู้บริโภค (ในกรณีที่ยังไม่มี) เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากยังเผชิญปัญหาในการขออนุญาตติดตั้งเอง หรืออาจมีการส่งเสริมการขายที่ลดราคาอุปกรณ์และค่าติดตั้งที่จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้นจากระยะเวลาคืนทุนที่เร็วขึ้น 

สำหรับมาตรการส่งเสริมของภาครัฐต้องดำเนินการ มีทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว เช่น การสร้างกลไกในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์และผู้ติดตั้ง การเพิ่มมาตรการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้บริโภค ตลอดจนอำนวยความสะดวกผ่านระบบ One-stop services 

“มาตรการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อประยะสั้นที่ภาครัฐสามารถดำเนินการได้” นอกเหนือจากการให้สิทธิลดหย่อนภาษี ที่ภาครัฐได้มีมติเห็นชอบหลักการในเดือนมิถุนายน 2568 1) เพิ่มกลไกการตรวจสอบและรับรองคุณภาพของอุปกรณ์และผู้ให้บริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภาคสมัครใจ (Voluntary certification program) เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกผู้ให้บริการที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานทั้งด้านคุณภาพและราคาได้ 2) แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายโดยให้เงินอุดหนุนการติดตั้งและสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สำหรับครัวเรือนรายได้ต่ำ โดยร่วมมือกับสถาบันการเงิน   เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป  3) ขจัดอุปสรรคในการขออนุญาตโดยใช้ระบบ One-stop services เพื่อช่วยขั้นตอน ลดภาระค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการขออนุญาตติดตั้ง

“ระยะยาว” SCB EIC เสนอว่า ภาครัฐควรมีโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการใช้โซลาร์รูฟท็อปของประเทศที่บูรณาการกับแผนพลังงานของชาติ อาทิ 1) ปลดล็อกการขายไฟฟ้าเสรีโดยการให้สิทธิกับบุคคลที่สาม (ที่ไม่ใช้การไฟฟ้าฯ) สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์จากระบบส่งไฟฟ้าหรือโครงข่ายไฟฟ้าได้ (Third party access) โดยการไฟฟ้าฯ เป็นผู้บริหารจัดการและได้รับค่าบริการ 2) การไฟฟ้าฯ เปิดรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากโซลาร์รูฟท็อปในราคาขายปลีกโดยคำนวณปริมาณไฟฟ้าที่ผู้บริโภคขายได้จากส่วนต่างระหว่างหน่วยไฟฟ้าที่ซื้อจากการไฟฟ้า กับ หน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้เองจากโซลาร์รูฟท็อป (Net-metering) 

โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการผลิตไฟฟ้าจากภาคประชาชน จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถปลดล็อกศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ที่กระจายอยู่ทั่วทุกหลังคาบ้าน และเดินหน้าสู่ระบบพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง