เทคนิคการทำข้อสอบภาษาอังกฤษ Part Readingเครดิตภาพหน้าปก : https://www.pexels.com/photo/white-ceramic-teacup-with-saucer-near-two-books-above-gray-floral-textile-904616/หลาย ๆ คนที่เจอข้อสอบ Reading หรือการอ่าน Paragraph แล้วตอบคำถาม อาจจะรู้สึกไม่ชอบ รู้สึกกลัว เพราะพาร์ท Reading เป็นพาร์ทที่มีคำเยอะที่สุด ยาวที่สุด มีประโยคมากมายกว่าแบบทดสอบชนิดอื่น ๆ เมื่อเวลาที่เจอข้อสอบในส่วนของ Reading เราจะจัดการ “ตั้งรับ” กับมันอย่างไร เพื่อที่จะได้ทำคะแนนให้ได้มากที่สุด ไปดูกันเลย1. เมื่อเจอ Reading สั้น ให้อ่านให้จบก่อนตอบหากเราเจอ Reading สั้น มีแค่ 1-2 ย่อหน้า ให้อ่านให้จบ แล้วจากนั้นค่อยไปอ่านโจทย์และตอบคำถาม ที่ทำเช่นนี้เพราะบทความที่สั้นสามารถอ่านจบได้อย่างรวดเร็ว และหากเราไปอ่านโจทย์ก่อนเราก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ก็ต้องกลับไปอ่านบทความใหม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ให้อ่านบทความตั้งแต่แรกดีกว่า2. เมื่อเจอ Reading ยาว มีหลาย Paragraph (หลายย่อหน้า) ให้อ่านโจทย์และตัวเลือกก่อนเวลาที่เจอบทความยาว ๆ มีหลายย่อหน้า ให้ทำการกวาดสายตาอ่านคำถามและตัวเลือกก่อน การทำเช่นนี้จะทำให้เราพอเข้าใจและเห็นภาพเนื้อหาในบทความคร่าว ๆ และจากนั้นให้กลับไปอ่านบทความจะพบว่าเราสามารถเข้าใจเนื้อหาในบทความได้เร็วขึ้น มีทิศทางการตอบคำถามที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/woman-reading-a-book-beside-the-window-1031588/3. อ่านโจทย์แล้วกลับไปหาคำสำคัญในบทความในโจทย์เกี่ยวกับ Reading บางข้อ จะถามแบบมี Keyword หรือคำสำคัญ ให้เราดูว่า “คำสำคัญ” ในคำถามข้อนั้นคืออะไร จากนั้นก็ให้เรากลับไปยังบทความต่อเพื่อหาคำสำคัญนั้นว่าอยู่บรรทัดไหนคำตอบของคำถามส่วนมากมักจะอยู่รอบ ๆ คำสำคัญนั้น อาจจะเป็นประโยคที่อยู่ด้านหน้า ประโยคที่อยู่ด้านหลัง หรือย่อหน้านั้นทั้งหมด เป็นต้น เช่น ถ้าโจทย์ถามว่า What does the scientist say? คำสำคัญคือ Scientist ก็ให้เราหาคำนี้ใจบทความ แล้วคำตอบก็จะอยู่รอบ ๆ ศัพท์คำนี้4. การแปลคำศัพท์จากบริบทในบางครั้งผู้ออกข้อสอบจงใจให้ออกข้อสอบที่มีคำศัพท์ยาก ๆ ไม่ได้เพื่อวัดความรู้ด้านคำศัพท์ของเรา แต่เขาต้องการวัดทักษะการเดาคำศัพท์จากบริบทคำว่าบริบทหมายถึงสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ก็คล้าย ๆ กับหลักข้อ 3 นั่นก็คือประโยคหน้า ประโยคหลัง หรือย่อหน้านั้น เช่น I always use the escalator whenever I’m tired or lazy to walk to the second floor of BTS. ฉันมักจะใช้ Escalator เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเหนื่อยหรือขี้เกียจเดินขึ้นไปชั้นสองของบีทีเอสถึงแม้เราเราจะไม่ทราบความหมายของ Escalator แต่เราก็น่าจะพอเดาได้ว่ามันมีความหมายถึงสิ่งที่ช่วยให้เราขึ้นไปข้างบนเช่นลิฟต์หรือบันไดเลื่อน หากเรารู้ว่าคำว่าลิฟต์นั้น ใช้คำว่า Lift, Elevator แล้ว ก็เหลือความเป็นไปได้อีกอย่างคือ “บันไดเลื่อน” นั่นเองขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/woman-lying-on-bed-holding-book-1458669/5. แปลศัพท์คำไหนไม่ได้ ให้ทับศัพท์ไปก่อน แม้แต่เจ้าของภาษาเอง ยังไม่ได้รู้ความหมายของคำศัพท์ทุกคำในภาษาอังกฤษ เราเองก็มีโอกาสที่จะไม่รู้คำศัพท์บางคำได้เช่นกัน แต่ไม่เป็นไร หากคำไหนที่เราไม่รู้ความหมาย ให้ทำก่อนอ่านทับศัพท์ไปก่อน อย่างเช่น คุณไม่เข้าใจความหมายของคำว่า Acupuncture ที่เจอใน Reading ในประโยคที่ว่า Nowadays, acupuncture becomes very popular in Thailand. It’s a traditional Chinese medicine that can heal people’s body. Acupuncture involves inserting very thin needles through a person's skin at specific points on the body.หากเราติดแค่คำเดียวคือ Acupuncture ก็ให้เราทับศัพท์มันก่อน เช่น ทุกวันนี้ Acupuncture กลายมาเป็นที่นิยมในประเทศไทยอย่างมาก มันคือการแพทย์แผนจีนที่ช่วยรักษาร่างกายคนได้ Acupuncture เกี่ยวข้องกับการใส่เข็มที่บางมาก ๆ เข้าไปยังผิวของคนตรงจุดเฉพาะของร่างกายเมื่อคุณอ่านไปเรื่อย ๆ คุณจะเข้าใจความหมายของคำ ๆ นี้เอง ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองเดาถูกไหม ลองเสิร์ชหาความหมายใน Google ดูนะและนี่ก็คือเทคนิคในการทำข้อสอบระเภท Reading มีด้วยกัน 5 ข้อ ข้อสรุปอีกครั้งหนึ่ง1. Reading สั้น อ่านให้จบก่อน2. Reading ยาว อ่านโจทย์ก่อน3. หาคำสำคัญจากคำถาม4. แปลศัพท์จากบริบท5. ศัพท์ให้ไม่ได้ให้อ่านแบบทับศัพท์ไปก่อนขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/woman-in-brown-suede-peacoat-reading-a-book-762080/มากไปกว่าเทคนิคเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือการสั่งสมความรู้ ความเชี่ยวชาญระยะยาว ผ่านการอ่านบ่อย ๆ ฝึกทำข้อสอบบ่อย ๆ และรู้ศัพท์ให้ได้มากที่สุด สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการทำข้อสอบ Reading ไม่ว่าจะเป็น GAT, ONET, TOEFL, CU-TEP, SMART I ฯลฯ นะคะโอ้Facebook : fb.me/justlearntogetherYouTube : https://bit.ly/2PpkbZuIG : kanziri