พบกับนิยายธรรมะว่าด้วยเรื่องสวรรค์และนรกแบบละเอียด ซึ่งไม่ใช่แค่เนื้อหาที่ให้ท่องจำ แต่เป็นการยกตัวอย่างเหตุการณ์นิยายในเรื่อง สะท้อนให้เห็นภาพและเปรียบเทียบว่าภพภูมิแต่ละที่หมายมีความแตกต่างกันมากแค่ไหน นอกจากนี้ระยะเวลาการได้รับผลของกรรมดี กรรมชั่วก็ใช้เวลาเร็วช้าไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผลกรรมนั้นด้วยว่ามีเจตนามากน้อยแค่ไหน ณัฐพบธรรม นักเขียนหนังสือขายดี การันตีผลงานหนังสือระดับ Best Seller จะมาถ่ายทอดให้เกิดความเข้าใจในเรื่องชีวิตให้มากขึ้น ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่อ้างอิงจากพระไตรปิฎก ข้อดีคือเป็นหนังสือที่อ้างอิงสาระสำคัญจากพระไตรปิฎก ไม่ได้เขียนตู่ขึ้นมาเองตามใจชอบ สิ่งที่ให้รายละเอียดของภพภูมิต่างๆ แม้จะดูเหลือเชื่อ แต่สิ่งนี้มีบันทึกจริงในพระไตรปิฎก น่าเสียดายถ้าเราศึกษาแล้วไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติตัวให้รักษาแต่บุญกิริยาวัตถุ 10 มากเท่าที่ควร เนื้อหาภายในเล่ม 1.กายที่มองไม่เห็น 2.สวรรค์ นรก ดวงดาว จักรวาล 3.สวนสวรรค์ 4.วิมานที่ไร้เจ้าของ 5.อายุขัย และการเผชิญหน้ากับความตาย 6.จุดพลิกผัน และสวรรค์ของแต่ละศาสนา 7.สวรรค์ ที่ไม่เหมือนสวรรค์ 8.นี่หรือคือนรก 9.วิธีไปนรก 457 ขุม 10.ทำบาปตลอดชีวิต ก็ขึ้นสวรรค์ได้ ? 11.จุดกำเนิดและวันสิ้นสุด จักรวาล โลก มนุษย์ 12.ภารกิจที่หลงลืม หนังสือเริ่มถึงเรื่องราวของกฤต ชายหนุ่มที่เชื่อมั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็นไม่เกี่ยวข้องกับบุญหรือบาป ไม่มีนรกหรือสวรรค์ เกิดมาแล้วก็ตายหนเดียว ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้ถอดกายทิพย์ออกมาได้เอง เพื่อพบกับชายชุดขาวนิรนามท่านหนึ่ง เขาเสนอตัวจะพากฤตไปเห็นสวรรค์และนรก รวมถึงภพภูมิต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่พุทธศาสนาต้องการจะเผยแพร่มากขึ้น ทีแรกกฤตนึกว่าตัวเองฝันไป แต่สิ่งที่เขาเห็นในสวรรค์ชั้นต่างๆกับสอดคล้องกับความเป็นจริงในภพภูมิมนุษย์จนทำให้เขาทึ่ง รวมถึงการตายของแฟนสาวอย่างเมย์ที่ได้ขึ้นสวรรค์เพราะบุญที่ได้ทำมาตลอด และพ่อแม่ของกฤตที่ต้องตกนรกเพราะชอบดื่มสุราและไม่เคยคิดจะทำบุญเลย สิ่งนี้ทำให้กฤตตั้งคำถามกับชายชุดขาวตลอดการเดินทาง หลังจากกลับมายังภพภูมิมนุษย์ กฤตตั้งใจศึกษาธรรมะมากขึ้น และทุกคืนที่เข้านอน เขาจะหายใจเข้าออกกล่าวคำว่าพุทโธจนหลับไป และเจอกับชายชุดขาวเพื่อถามปัญหาที่เขาสงสัย และบทสรุปที่เขาได้เลือกเส้นทางใหม่ให้กับชีวิตของตนเอง เพื่อที่ว่าเขาจะได้บรรลุโสดาบัน จะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เสี่ยงทำบาปตกนรกอีก หากไม่บรรลุธรรม อย่างน้อยการเกิดใหม่ก็จะได้ไปภพภูมิใหม่ที่ดีกว่าและสร้างบุญใหม่เพื่อโอกาสบรรลุธรรมต่อไป กฤตจึงมุ่งสู่การเป็นโสดาบันในระหว่างการทำมาหากินในฐานะฆราวาส สิ่งที่ต้องทำมี 3 ประการ 1.ทำบุญกิริยาวัตถุ 10 ให้ครบ 2.ไม่ทำบาปแม้แต่น้อยนิด 3.มีพระรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวอย่างไม่มีวันสั่นคลอน (มีไตรสรณะ) ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.การมีเพศสัมพันธ์กับแฟน หากยังไม่ได้สู่ขอกันตามประเพณีให้เป็นที่รับรู้ของพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าบาป (อกุศลกรรมบท 10 พระไตรปิฎกเล่มที่ 12 พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อ 484) 2.เทวดาไม่ใช่ชีวิตที่เป็นอมตะ” “เทวดายังเป็นชีวิตที่อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ที่มีเกิดก็ต้องมีดับ แต่อายุขัยของเทวดาจะยืนยาวกว่ามนุษย์มากพอสมควร อย่างถ้าเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช จะมีอายุขัยเท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์ เทวดาชั้น ดาวดึงส์จะมีอายุขัยเท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์ เทวดาชั้นยามาจะมี อายุขัยเท่ากับ 144 ล้านปีมนุษย์ เทวดาชั้นดุสิตจะมีอายุขัยเท่ากับ 576 ล้านปีมนุษย์ เทวดาชั้นนิมมานรดีจะมีอายุขัยเท่ากับ 2,304 ล้านปีมนุษย์ เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีมีอายุขัยเท่ากับ 9,216 ล้านปีมนุษย์ (พระไตรปิฎกเล่มที่ 35 พระอภิธรรมปิฎก วิภังคปกรณ์ ข้อ 1,106 ภุมมันตรวาร) 3.ในตอนที่เทวดาใกล้จะหมดอายุขัย จะมีสัญญาณเตือนให้เรารู้ด้วย นิมิต 5 อย่างคือ 1. ดอกไม้ทิพย์ในวิมานจะเหี่ยวและไม่มีกลิ่นหอม 2.เสื้อผ้าและเครื่องประดับทิพย์จะเศร้าหมอง 3. จะเริ่มมีเหงื่อไหล ออกมาจากรักแร้ 4. ที่นอนที่นั่งจะแข็งและร้อน 5. รัศมีจะหม่นหมองและเนื้อหนังจะเหี่ยว หากนิมิตทั้ง 5 อย่างนี้ปรากฏขึ้นกับใคร เขาก็จะหมดอายุขัยภายใน 7 วัน 4.สวรรค์ชั้นยามาเสพกามไม่เหมือนมนุษย์ คือมีเพียง การสัมผัสกอดรัดแล้วเกิดความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย จึงไม่มีการ ตั้งครรภ์ใด ๆ สวรรค์ชั้นดุสิตเสพกามด้วยการสวมกอดเบาๆ สวรรค์ ชั้นนิมมานรดีเสพกามด้วยการสัมผัสจับมือ ส่วนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีนั้น เพียงแค่มองตากันก็มีความพึงพอใจแล้ว 5.บนสวรรค์ เราใช้อาณาเขตของวิมานเป็นเครื่องกำหนด ผู้ที่ตายแล้วมาเกิดเป็นเทพธิดาบนเตียงในวิมานของใครก็คือภรรยาของคนนั้น ส่วนผู้ที่เกิดบนตักของเราก็คือลูก ส่วนผู้ที่เกิดบริเวณอื่นแต่อยู่ในเขตวิมานของเราก็คือผู้รับใช้ของเรา แต่เทพบุตรเจ้าของวิมานจะไม่มีความรู้สึกทางเพศกับบริวารที่เป็นนางอัปสร เพราะไม่ได้ทําบุญร่วมกันมา ผู้ที่จะมาเกิดเป็นภรรยาหรือลูกที่เคยทําบุญร่วมกันมาก่อน จึงมาเสวยสุขในวิมานเดียวกัน ส่วนเทพธิดาที่ทําบุญมามากจนมีวิมาน เป็นของตนเอง 6.บุญที่ทําให้ได้ขึ้นสวรรค์นั้นเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10 ซึ่งประกอบไปด้วย การทําทาน การอุทิศบุญ การยินดีที่ผู้อื่นทําบุญ การรักษาศีล การอ่อนน้อมถ่อมตน การช่วยเหลือผู้อื่น การฟังธรรม การแสดงธรรม การเจริญภาวนา และการมีความเชื่อที่ถูกต้อง ส่วนบาปก็เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับบุญ นั่นคือ เป็นการกระทํา ที่ทําด้วยจิตใจที่ขุ่นมัว เมื่อหวนกลับมานึกถึงก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ และหากการกระทํานั้นมีผู้ถูกกระทํา ผู้ถูกกระทําก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ 7.หากเราไม่ค่อยได้ทําบุญ แถมเวลาทําก็ยังทําเพราะหวังผลของบุญ ก็จะได้อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช หากเราทําบุญเพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งดีงาม เราก็จะได้อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หากเราทําบุญเพราะอยากรักษาประเพณีหรือทําตามที่บรรพบุรุษสอนมา เราก็จะได้อยู่บนสวรรค์ชั้นยามา หากเราทําบุญด้วยจิตเมตตา เราก็จะได้อยู่บน สวรรค์ชั้นดุสิต หากเราทําบุญเพราะเรารู้สึกว่าควรทํา เราก็จะได้อยู่บนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี หากเราทําบุญเพราะมีจิตเลื่อมใส เราก็จะได้ไปอยู่บนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี 8.ขนาดและความสวยงามของทิพยสมบัติต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลัก ๆ 4 ข้อ “ข้อหนึ่งคือ ปริมาณการทําทาน ยิ่งทําทานมาก ทิพยสมบัติก็จะยิ่งมาก ข้อสอง คือ ขณะทําบุญ ยิ่งทําด้วยจิตใจผ่องใสประณีตมากแค่ไหนก็จะยิ่งได้บุญมาก ข้อสามคือ ยิ่งผู้ทํามีศีลมากก็จะยิ่งได้บุญมาก ข้อสี่คือ ยิ่งทําบุญกับผู้ที่มีศีลมาก ก็จะยิ่งได้บุญมาก” 9.ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เวลาที่เราตาย ไม่ว่าจะตายจากภพภูมิไหนก็ตาม สิ่งที่จะตัดสินว่าเราจะไปเกิดใหม่ที่ไหนไม่ใช่ปริมาณบุญและบาปที่เราทำในชาตินั้น แต่คือสภาพจิตสุดท้าย ก่อนตายของเรา หากจิตสุดท้ายผ่องใส เราก็จะไปเกิดในสุคติภูมิคือไปเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา หรือพรหม แต่หากจิตสุดท้ายของเราหม่นหมอง เราก็จะไปเกิดในทุคติภูมิ คือ ตกนรก เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน 10.ในบางกรณีแม้ว่าบางคนจะรู้ตัวว่าใกล้ตาย แต่เขาก็อาจจะไม่สามารถควบคุมจิตของตัวเองให้ผ่องใสรู้สึกดีได้ เพราะเขาไม่เคยฝึกจิตให้ทำสิ่งเหล่านี้มาก่อน และแม้เขาจะพยายามฝืนตัวเองให้คิดถึงเรื่องดี ๆ แต่ความรู้สึกที่แท้จริงข้างในอาจจะไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ดีถึงขั้นทำให้จิตผ่องใสได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้ทำบุญ แม้จะนิมนต์พระมาสวดมนต์ให้ฟังก็ยังคิดดีรู้สึกดีไม่ได้ เผลอ ๆ บางคนรำคาญจนโกรธ อีกทั้งในตอนใกล้ตาย คนส่วนมากก็มักจะเกิดความกลัวขึ้นจึงมักจะตายไปพร้อมกับจิตสุดท้ายที่ไม่ผ่องใส อย่าคิดว่าการเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยนความรู้สึกเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่บังคับได้ ลองนึกถึงตอนที่เธออกหัก โกรธ กลัวผี เจ็บปวดหรือเสียใจดูสิว่าสามารถเปลี่ยนความคิดความรู้สึกของตัวเองให้กลายเป็นความคิดและความรู้สึกในทางบวกได้ง่าย ๆ หรือเปล่า 11.สิ่งที่จะส่งผลต่อจิตสุดท้ายของเราก็คือ บุญและบาปที่เราได้ทำมาทั้งชาตินี้และชาติก่อนหน้านี้ทุกชาติรวมกัน หากใครเคยทำกรรมที่เป็นกรรมหนักกรรมนั้นก็จะส่งผลต่อจิตสุดท้ายของเราก่อนกรรมอื่น” กรรมหนักฝ่ายอกุศลเรียกว่าอนันตริยกรรม ได้แก่ การฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ การทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงขั้นห้อเลือดขึ้นไป การทำสงฆ์ให้แตกแยกกัน ส่วนกรรมหนักฝ่ายกุศลได้แก่ การบรรลุธรรมเป็นพระอริยะ” 12.เวลากรรมแสดงผลตอนใกล้ตาย จะแสดงผลได้ 3 รูปแบบใหญ่ ๆ แบบที่ 1 เรียกว่า กรรมอารมณ์ คือก่อนตายภาพของกรรมที่เคยทำจะปรากฏ เช่น ภาพตอนดื่มสุรา ภาพตอนฆ่าสัตว์ ภาพ ตอนกำลังด่าว่าพ่อแม่ ภาพตอนทำสังฆทาน ภาพตอนนั่งวิปัสสนา ทำให้จิตไปยึดอารมณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่ทำกรรมนั้นแล้วตายหากกรรมอารมณ์เป็นกรรมดี จิตก็จะผ่องใสทำให้ไปสุคติ แต่หากกรรมอารมณ์จิตก็จะหม่นหมองส่งให้ไปสู่ทุคติเป็นกรรมชั่ว แบบที่ 2 เรียกว่า กรรมนิมิต คือจะมีภาพที่เกี่ยวข้องกับกรรมที่เคยทำปรากฏขึ้น เช่น ภาพอาวุธที่ใช้ฆ่าสัตว์ ภาพขวดเหล้า ภาพวัด ภาพของสิ่งที่เรานำไปทำบุญ แล้วจิตของเราก็จะยึดภาพเหล่านั้นเป็นอารมณ์จนตาย หากกรรมนิมิตเกี่ยวข้องกับกรรมดี จิตก็จะผ่องใสทำให้ไปสุคติ หากกรรมนิมิตเกี่ยวข้องกับกรรมชั่ว จิตก็จะหม่นหมองส่งให้ไปสู่ทุคติ แบบที่ 3 เรียกว่า คตินิมิต คือจะปรากฏภาพของสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับภพภูมิที่เราจะไป เช่น ถ้าตอนตายเห็นไฟก็จะไปนรก เห็นป่าก็จะไปเกิดเป็นสัตว์ เห็นคนนุ่งแดงห่มแดงก็จะไปพบพระยายม เห็นเนื้อสดจะเกิดเป็นคน เห็นเทวดาก็จะได้ขึ้นสวรรค์ เห็นพรหมก็จะไปเกิดเป็นพรหม” 13.ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การเข้าใกล้การบรรลุอรหันต์เพื่อเข้าสู่นิพพานนั้นไม่ได้วัดกันที่ใครจะได้อะไรมากกว่ากัน แต่วัดกันที่ใครตัดอะไรได้มากกว่ากัน หมายความว่า การบรรลุอรหันต์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครได้ฌานสูงกว่า มีฤทธิ์มากกว่า แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถตัดกิเลสได้มากกว่า หากใครสามารถตัดกิเลสได้หมดก็จะเป็นอรหันต์ หากยังเหลือกิเลสเล็กน้อยก็จะเป็นอนาคามี สกทาคามี และโสดาบันตามลำดับ ซึ่งหนทางสู่การเป็นโสดาบันนั้นมีหลายเส้นทาง แต่ทุกเส้นทางจะอยู่ในกรอบของมรรคมีองค์ 8 เช่น การทำทานให้มาก การรักษาศีลให้เคร่งครัด การเจริญภาวนาอย่างเข้มข้น 14.เราเป็นฆราวาสที่ยังต้องทำมาหากิน ก็สามารถมุ่งสู่การเป็นโสดาบันได้ด้วยวิธีปฏิบัติตน 3 ข้อ คือ 1. ทำบุญกิริยาวัตถุ 10 ให้ครบ 2.ไม่ทำบาปแม้แต่น้อยนิด ๓. มีพระรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวอย่างไม่มีวันสั่นคลอนหรือเรียกว่ามี "ไตรสรณะ" 15.หากตั้งใจที่จะมุ่งสู่การเป็นโสดาบันอย่างเข้มข้นตั้งแต่วันนี้ แล้วยังไม่บรรลุโสดาบันในชาตินี้ ผลบุญที่เธอทำก็มีโอกาสส่งผลให้เราได้ขึ้นสวรรค์ และหากในช่วงที่เป็นเทวดาเรายังยึดมั่นในแนวทางเดิม ก็มีโอกาสบรรลุธรรมในขณะที่เป็นเทวดาได้ นอกจากนั้น ในตอนที่พระพุทธเจ้าพระองค์ถัดไปที่ชื่อว่า พระศรีอารยเมตไตรยมาตรัสรู้ หากในตอนนั้นเรายังไม่บรรลุธรรม และมีบุญมากพอ ไม่ว่าเราจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรือพรหมอยู่ เราก็จะมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระองค์ แล้วมีโอกาสบรรลุโสดาบันทันที และหากมีบุญมากพอ ก็อาจจะบรรลุอรหันต์แล้วเข้าสู่นิพพาน เครดิตภาพ ภาพปก โดย nicollazzi xiong จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย Prasanth Inturi จาก pexels.com ภาพที่ 4 โดย Min An จาก pexels.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ พระพุทธเจ้าไม่ได้มีแค่หนึ่ง รีวิวหนังสือ มิติที่ห้า โดยทันตแพทย์สม สุจีรา รีวิวหนังสือ ตัวกู ของกู โดยท่านพุทธทาสภิกขุ รีวิวหนังสือ ความลับของจักรวาลทางแห่งนิพพาน โดย ทันตแพทย์สม สุจีรา รีวิวหนังสือ นี่หรือเมืองพุทธ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !