รดน้ำต้นไม้ ตอนไหนดี อยากใช้น้ำน้อยลง ต้องทำยังไงบ้าง | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล เคยสงสัยกันไหมคะว่า เราควรรดน้ำต้นไม้ตอนไหนดี? เพราะบางคนก็รดตอนเช้า บางคนก็สะดวกตอนเย็น หรือบางทีก็รดเมื่อนึกขึ้นได้ โดยหลายคนก็อาจจะยังไม่รู้ว่า การรดน้ำในเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ต้นไม้ไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร หรือร้ายกว่านั้นคืออาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ อีกทั้งปัญหาที่หลายคนกำลังเจออยู่ในตอนนี้ก็คือมีปัญหาว่า ค่าน้ำหลายบาทจากการนำน้ำประปาไปรดน้ำต้นไม้ ดังนั้นในบทความนี้เราจะมารู้ทางแก้ปัญหากันค่ะ ตั้งแต่เรื่องที่เกี่ยวกับว่า รดน้ำต้นไม้ตอนไหน และทางออกของการประหยัดน้ำสำหรับรดต้นไม้ ซึ่งถ้าคุณผู้อ่านได้อ่านจบแล้วจะพบว่า มีหลายแนวทางง่ายๆ ที่สามารถนำไปได้จริง เพื่อลดการใช้น้ำในการดูแลสวน อีกทั้งยังสามารถมองเห็นภาพมากขึ้น ในการบริหารจัดการน้ำที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสวนค่ะ และถ้าอยากรู้ข้อมูลนั้นแล้ว งั้นเรามาอ่านต่อกันเลยดีกว่า ดังนี้ค่ะ รดน้ำต้นไม้ ตอนไหนดี? การดูแลต้นไม้ให้งอกงามนั้น การรดน้ำถือเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ช่วงเวลาไหนกันแน่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรดน้ำ และการรดน้ำในช่วงเย็นจะส่งผลเสียต่อต้นไม้จริงหรือไม่ ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาเพื่อให้การดูแลต้นไม้ของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ โดยหลักการแล้วช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการรดน้ำต้นไม้คือ ช่วงเช้าตรู่ เนื่องจากเป็นช่วงที่อุณหภูมิยังไม่สูงนัก ทำให้น้ำที่เรารดลงไปค่อยๆ ซึมซาบลงสู่ดินและรากได้ดี ต้นไม้จึงสามารถนำน้ำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ใบและลำต้นที่อาจเปียกจากการรดน้ำก็จะมีเวลาแห้งในระหว่างวัน ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเชื้อราที่มักเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ชื้นแฉะเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกในการรดน้ำในช่วงเช้า การรดน้ำในช่วงเย็นก็สามารถทำได้ แต่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ควรเลือกช่วงเวลาที่ไม่ใกล้ค่ำจนเกินไป เพื่อให้ใบของต้นไม้มีเวลาแห้งบ้างก่อนที่อุณหภูมิจะลดลงและความชื้นจะสูงขึ้น การรดน้ำที่โคนต้นโดยหลีกเลี่ยงการรดไปที่ใบและดอกโดยตรงก็เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจตามมาค่ะ ที่สรุปได้ว่า ช่วงเช้าตรู่เป็นเวลาที่ดีที่สุด สำหรับการรดน้ำต้นไม้ แต่หากไม่สะดวกจริงๆ การรดน้ำในช่วงเย็นก็สามารถทำได้ โดยต้องระมัดระวังเรื่องความชื้นที่ใบเป็นพิเศษ สิ่งสำคัญคือการสังเกตความต้องการน้ำของต้นไม้แต่ละชนิด และปรับวิธีการรดน้ำให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและฤดูกาล เพื่อให้ต้นไม้ของเราได้รับน้ำอย่างเพียงพอและเติบโตอย่างแข็งแรงค่ะ วิธีประหยัดน้ำรดต้นไม้ 1. รดน้ำที่โคนต้น การรดน้ำที่โคนต้นไม้เป็นวิธีที่ฉลาดและช่วยประหยัดน้ำได้มากเลยค่ะ แทนที่เราจะรดน้ำแบบสาดไปทั่วบริเวณ ซึ่งอาจจะทำให้ดินและวัชพืชที่ไม่สำคัญได้รับน้ำไปด้วย การรดน้ำเจาะจงไปที่โคนต้นจะช่วยให้รากของต้นไม้ได้รับน้ำโดยตรง ทำให้ต้นไม้ได้รับน้ำอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพมากขึ้น น้ำไม่สูญเสียไปกับการระเหยบนผิวดินกว้างๆ หรือไปเลี้ยงวัชพืชที่เราไม่ได้ต้องการ นอกจากนี้การรดน้ำแบบนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรครากเน่าจากความชื้นที่มากเกินไปบริเวณลำต้นได้อีกด้วยค่ะ 2. ตัดแต่งกิ่งที่ไม่จำเป็น ลองคิดดูนะคะว่า กิ่งก้านที่ไม่สมบูรณ์ กิ่งที่แห้ง หรือกิ่งที่เบียดบังกันเองนั้น ก็ยังคงต้องการน้ำและอาหารจากต้นอยู่ เมื่อเราตัดกิ่งเหล่านี้ออกไป ต้นไม้ก็จะสามารถส่งน้ำและธาตุอาหารไปเลี้ยงกิ่งก้านที่แข็งแรงและให้ผลผลิตได้เต็มที่มากขึ้น ทำให้ต้นไม้โดยรวมต้องการน้ำน้อยลง เพราะไม่ต้องแบ่งปันทรัพยากรให้กับส่วนที่ไม่จำเป็น แถมยังช่วยให้ต้นไม้มีทรงพุ่มโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคและแมลงอีกด้วยค่ะ 3. รดน้ำให้ชุ่มแต่ไม่ต้องบ่อย หลักการง่ายๆ คือ แทนที่จะรดน้ำแบบผ่านๆ ทุกวัน ซึ่งอาจจะทำให้ผิวดินเปียกแต่ความชื้นลงไปไม่ถึงราก การรดน้ำให้ชุ่มถึงระดับรากจะช่วยให้ต้นไม้มีน้ำสำรองไว้ใช้ได้นานขึ้น รากจะค่อยๆ ดูดซึมน้ำไปใช้ ทำให้เราไม่ต้องรดน้ำบ่อยๆ เมื่อดินด้านบนแห้งบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะใต้ดินยังมีความชื้นอยู่ วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณน้ำที่เราใช้โดยรวม แถมยังส่งเสริมให้รากของต้นไม้แข็งแรงและหยั่งลึกลงไปในดินเพื่อหาแหล่งน้ำเองได้ดีขึ้นด้วยค่ะ 4. ใช้ระบบน้ำหยดหรือสปริงเกอร์แบบประหยัดน้ำ การหันมาใช้ระบบน้ำหยดหรือสปริงเกอร์แบบประหยัดน้ำ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ยอดเยี่ยมในการช่วยลดปริมาณการใช้น้ำในการเกษตรหรือการดูแลสวนของเราค่ะ เพราะว่าระบบเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้จ่ายน้ำไปยังบริเวณที่ต้องการอย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการหยดน้ำลงบนดินใกล้ราก หรือการพ่นน้ำเป็นฝอยเล็กๆ ในรัศมีที่กำหนด ทำให้ลดการสูญเสียน้ำจากการระเหยหรือการไหลบ่าที่ไม่จำเป็น แถมยังช่วยให้ต้นไม้ได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอในปริมาณที่เหมาะสม ทำให้เราไม่ต้องเปลืองน้ำไปกับการรดน้ำแบบทั่วไปที่อาจจะมากเกินความจำเป็นหรือไม่ตรงจุดค่ะ 5. คลุมดิน การคลุมดินก็เป็นอีกวิธีง่ายๆ แต่ได้ผลดีมากในการช่วยลดการใช้น้ำค่ะ ลองนึกภาพว่าเรามีผ้าห่มคลุมผิวดินไว้ วัสดุคลุมดิน ไม่ว่าจะเป็นฟาง เศษใบไม้แห้ง หรือแม้แต่พลาสติกคลุมดิน จะช่วยรักษาความชื้นในดินไม่ให้ระเหยออกไปเร็วเกินไป ทำให้ดินชุ่มชื้นได้นานขึ้น เราจึงไม่ต้องรดน้ำบ่อยๆ นอกจากนี้การคลุมดินยังช่วยควบคุมอุณหภูมิของดินให้คงที่ ลดการงอกของวัชพืชที่มาแย่งน้ำและอาหารจากพืชที่เราปลูก แถมเมื่อวัสดุคลุมดินเหล่านี้ย่อยสลาย ก็ยังกลายเป็นปุ๋ยให้ดินอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการดูแลรักษาดินและประหยัดน้ำไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ 6. ปรับการรดน้ำตามสภาพอากาศ การปรับการรดน้ำให้เข้ากับสภาพอากาศในแต่ละวัน ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ เช่น ในวันที่อากาศร้อนจัด มีแดดแรง หรือมีลมพัดแรง แน่นอนว่าดินจะแห้งเร็วกว่าปกติ เราก็อาจจะต้องเพิ่มปริมาณน้ำหรือความถี่ในการรดน้ำ แต่ในวันที่ฝนตก หรืออากาศค่อนข้างเย็น มีความชื้นในอากาศสูง เราก็ควรลดปริมาณน้ำหรือเว้นการรดน้ำไปเลย เพราะดินอาจจะยังมีความชื้นเพียงพออยู่แล้ว การสังเกตสภาพอากาศและปรับการรดน้ำตามความจำเป็น จะช่วยให้เราไม่รดน้ำมากเกินไปจนดินแฉะ หรือน้อยเกินไปจนต้นไม้ขาดน้ำ ซึ่งเป็นการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยประหยัดน้ำได้ในระยะยาวค่ะ 7. เลือกปลูกพืชที่ทนต่อความแห้งแล้ง การเลือกปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยเป็นอีกแนวทางที่สำคัญ ในการช่วยลดการใช้น้ำในระยะยาวค่ะ พืชแต่ละชนิดมีความต้องการน้ำที่แตกต่างกัน หากเราเลือกปลูกพืชที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและปริมาณน้ำฝนในท้องถิ่นของเรา หรือเลือกพืชที่มีความทนทานต่อความแห้งแล้ง ก็จะช่วยลดความจำเป็นในการรดน้ำเพิ่มเติมได้มาก ยกตัวอย่างเช่น การปลูกพืชพื้นเมือง หรือพืชอวบน้ำที่สามารถเก็บสะสมน้ำไว้ในลำต้นและใบได้ดี พืชเหล่านี้จะต้องการน้ำน้อยกว่าพืชเมืองนอกบางชนิดที่อาจไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของเรา การปรับเปลี่ยนชนิดของพืชที่เราปลูกจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ยั่งยืนในการประหยัดน้ำค่ะ 8. รองน้ำฝนเอาไว้ใช้งาน แทนที่เราจะปล่อยให้น้ำฝนไหลทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ เราสามารถติดตั้งภาชนะต่างๆ เช่น ถังหรือบ่อพัก เพื่อเก็บกักน้ำฝนที่ตกลงมา น้ำฝนเป็นน้ำจืดตามธรรมชาติที่ปราศจากคลอรีนและสารเคมีอื่นๆ ซึ่งเป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของพืช การนำน้ำฝนที่เก็บไว้มารดน้ำต้นไม้โดยตรงจึงช่วยลดการพึ่งพาน้ำจากแหล่งอื่น ซึ่งเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายและช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำของประเทศไปในตัว แถมยังเป็นวิธีง่ายๆ ที่ใครๆ ก็สามารถทำได้อีกด้วยค่ะ 9. ตรวจสอบความชื้นในดินก่อนรดน้ำ การตรวจสอบความชื้นในดินก่อนที่จะตัดสินใจรดน้ำ เป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้เราใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดน้ำได้ แทนที่เราจะรดน้ำตามตารางเวลาแบบตายตัว โดยที่ไม่รู้ว่าดินยังชื้นอยู่หรือไม่ การลองใช้อุปกรณ์จิ้มลงไปในดินสัก 2-3 เซนติเมตร หรือถ้าใครสามารถใช้เครื่องวัดความชื้นในดินได้ แบบนี้จะช่วยให้เรารู้ว่าดินแห้งจริงหรือไม่ ถ้ารู้สึกว่าดินยังชื้นอยู่ ก็ยังไม่จำเป็นต้องรดน้ำ การทำแบบนี้จะช่วยป้องกันการรดน้ำมากเกินความจำเป็น ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการสิ้นเปลืองน้ำแล้ว แต่ยังอาจทำให้รากของพืชเน่าได้อีกด้วย การใส่ใจตรวจสอบความชื้นในดินก่อนรดน้ำ จึงเป็นวิธีที่ช่วยให้เราดูแลต้นไม้ได้ดีขึ้นและประหยัดน้ำไปพร้อมๆ กันค่ะ 10. ดูแลรักษาอุปกรณ์รดน้ำ ลองคิดดูว่าถ้าสายยางของเรามีรอยรั่ว หัวฉีดน้ำแตก หรือข้อต่อหลวม ทุกครั้งที่เราเปิดน้ำ ก็จะมีน้ำจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ การหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ หากพบรอยรั่วหรือความเสียหาย ก็ควรซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ทันที นอกจากนี้การทำความสะอาดหัวฉีดน้ำหรือสปริงเกอร์ที่อาจมีสิ่งสกปรกอุดตัน ก็จะช่วยให้น้ำไหลได้สะดวกและตรงจุด ทำให้เราไม่ต้องเปิดน้ำนานเกินความจำเป็น เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดการสูญเสียน้ำและประหยัดน้ำได้อย่างง่ายๆ แล้วค่ะ และนั่นคือแนวทางง่ายๆ ที่เป็นไปได้ เพื่อประหยัดน้ำในบ้าน สำหรับการทำสวนค่ะ และที่ผู้เขียนบอกว่าเป็นไปได้นั้น ก็เพราะว่าแนวทางหลายอย่างที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ข้างต้น เป็นวิธีการที่ผู้เขียนได้นำมาใช้ในสถานการณ์จริงด้วยนะคะ โดยในทุกๆ วันที่จำเป็นต้องรดน้ำต้นไม้ ผู้เขียนจะรดช่วงเช้าค่ะ โดยยึดหลักการที่ว่ารดเมื่อจำเป็นเท่านั้น หากมีฝนตกหรือดินยังชื้นอยู่ผู้เขียนจะข้ามการรดน้ำครั้งนั้นไป โดยที่นี่ผู้เขียนก็ได้รองน้ำฝนจากหลังคาโรงจอดรถเอาไว้ใช้ด้วย จึงช่วยได้มาก และเพิ่งเปลี่ยนสายยางอันใหม่ค่ะ โดยมีหัวฉีดน้ำเพิ่มแรงดันเข้ามาช่วยอีกแรงเรื่องการกระจายน้ำ จึงไม่ได้เปิดน้ำจนสุดก๊อกและนานเกินไปค่ะ โดยแนวทางทั้งหมดที่ผู้เขียนได้ประยุกต์ใช้นั้น คุณผู้อ่านเองก็สามารถนำไปปรับใช้ได้นะคะ และผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไปค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปก โดย Sarah Dietz จาก Pexels ภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1 โดย Greta Hoffman จาก Pexels และภาพที่ 2-4 โดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกโดยผู้เขียนใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่น่าสนใจโดยผู้เขียน 9 แนวทางอนุรักษ์น้ำ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ปลูกมะเขือเทศช่วงหน้าร้อน ในกระถางหน้าบ้าน กี่วันได้เก็บกิน ใช้น้ำประปา รดผักหน้าบ้านได้ไหม ผลลัพธ์เป็นยังไง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !