เปิดชีวิตหนุ่มพิการสู้จนรวย ทำงานรับจ้างตั้งแต่เด็ก จากเลี่ยมกรอบพระ สู่เจ้าของร้านทอง
เปิดชีวิตหนุ่มพิการสู้จนรวย ทำงานรับจ้างตั้งแต่เด็ก จากร้านเลี่ยมกรอบพระเล็กๆ ใต้ถุนบ้าน สู่เจ้าของร้านทอง มีเงินเลี้ยงครอบครัว
วันที่ 8 ก.พ.65 ผู้สื่อข่าวเปิดเผยเรื่องราวของช่างทอง ผู้มีหัวใจไม่ยอมแพ้ ที่พิการแค่เพียงร่างกาย แต่จิตใจกลับแข็งแกร่ง ต่อสู้ชีวิตฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จในชีวิต สร้างความภาคภูมิใจมายังครอบครัว นายสิวนัส แสงสำราญ หรือ ช่างนัท ชาว ต.ตะค่า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี วัย 33 ปี ผู้ที่มีร่างกายพิการมือ เท้า กระดูกสันหลังผิดรูปมาแต่กำเนิด
เริ่มต้นชีวิตมาจากครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อแม่มีอาชีพรับเจียรนัยพลอยหาเงินเลี้ยงลูกชาย 3 คน แต่พอทั้งสองอายุมากขึ้นสายตาไม่ดีจึงไม่สามารถรับงานได้อีก และเลิกทำไปในที่สุด ส่วนช่างนัท แม้จะเป็นเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือแต่ชอบเรียนรู้อยู่เสมอ เมื่อสนใจอะไรจะค้นคว้าให้ถึงที่สุด
ด้วยความที่เป็นคนคนไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย จะหางานรับจ้างทำตั้งแต่เด็กโดยไม่เกี่ยงงาน และไม่กลัวจะเหนื่อยยาก เพียงให้ได้เงินใช้และจุนเจือครอบครัวก็พอ ช่างนัท มีพี่น้องรวม 3 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด พี่ชายคนโตชื่อ นายขวัญเมือง แสงสำราญ อายุ 35 ปี ช่างนัทเป็นลูกชายคนกลาง และ น้องชาย นายฤทธิเบศธ์ แสงสำราญ อายุ 27 ปี
ช่างนัท เปิดเผยว่า ตนมีความพิการมือ ขา และกระดูกสันหลังตั้งแต่กำเนิด เมื่อเกิดมาพอเริ่มจำความได้ ตนไม่เคยรู้สึกท้อใจในโชคชะตาชีวิตเลย เพราะมีครอบครัวคอยให้กำลังใจมาโดยตลอด ตนไม่ได้เรียนหนังสือ ก็ช่วยทางบ้านทำงานเล็กๆ น้อยๆ ต่อมาเมื่อปี 2548 เริ่มต้นชีวิตการทำงาน ไปเป็นช่างเย็บผ้าโหลส่งโรงงาน รับซ่อมเครื่องใช่ไฟฟ้าเก่า และรับซื้อของเก่า แต่รายได้ก็ไม่ดีมากนัก
จนกระทั่งอายุ 18 ปี ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ในขณะที่เดินหางานทำอยู่ใน อ.เมืองสุพรรณบุรี ก็ได้เล็งเห็นอาชีพหนึ่งซึ่งคิดว่าน่าจะสร้างรายได้ให้กับตัวเองและครอบครัวได้ นั่นคืออาชีพช่างเลี่ยมกรอบพระพลาสติก แต่ในตอนนั้นไม่มีทุนพอที่จะซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ในการทำ แต่ยังโชคดีที่ได้อดีตนายก อบต.ตะค่า ช่วยเหลือ ให้ชื่อตนขึ้นทะเบียนคนพิการจึงได้เงินจากเบี้ยยังชีพผู้พิการ 3,000 บาท ก่อนจะนำไปซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์
ใช้เวลาฝึกฝนลองผิดลองถูกจนชำนาญงาน จึงเปิดร้านรับเลี่ยมพระอยู่ใต้ถุนบ้านไม้ของครอบครัว โดยส่วนตัวมีความชอบด้านพระเครื่องอยู่แล้ว จึงไปเรียนรู้อบรมด้านการทำกรอบพระเครื่อง ที่เป็นพลาสติก และรับจ้างเลี่ยมกรอบพระทำเรื่อยมา เป็นเวลากว่า 10 ปี ตนก็สั่งสมประสบการณ์จนเชี่ยวชาญ เลยมาเปิดร้านเป็นของตัวเองเล็กๆ ที่บ้าน จนมีลูกค้าเดินทางมาทำกรอบพระมากขึ้น
จากนั้นตนก็เริ่มเรียนรู้จากการเลี่ยมกรอบพระพลาสติก มาเป็นเลี่ยมกรอบพระเงินพร้อมเก็บเงินที่ละเล็กละน้อย จนสามารถซื้อเครื่องมือไว้รีดทองคำต่อมา ด้วยการแกะสลักลวดลาย ตามแบบลักษณะของตัวเองที่คิดขึ้นมา และตามแบบที่ลูกค้าสั่ง ด้วยความประณีตและสวยงามตามแบบฉบับของช่างนัท
ปัจจุบันที่ร้าน ช่างนัท รับงานสั่งทำเป็นจำนวนมาก คือ การแกะสลักลวดลายทองบนสร้อยเหลดหลวงพ่อรวย มีทั้งแบบฝังเพชร ยกซุ้มเถาวัลย์ฝังเพชร ยกซุ้ม 3 ชั้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของร้าน จนลูกค้าชื่นชอบ ทำให้เป็นที่บอกต่อ และด้วยความที่ตนเป็นคนตรงไปตรงมา ทำงานด้วยความตั้งใจมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันมีลูกค้ามาสั่งงานเป็นจำนวนมาก มีรายได้มากขึ้นจากหลักสิบ มาสู่หลักร้อย หลักพัน หลักหมื่น จนกลายมาเป็นหลักแสนต่อเดือน มีลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ
จากนั้น ได้เริ่มคิดขยายกิจการ โดยได้มาเปิดร้านเล็กๆ ขึ้นในหมู่บ้าน พีพี 9 ที่ ต.ท่าระหัด อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มีพนักงานที่เป็นช่างทองมีฝีมือ 7 คน และมีพี่ชายที่จบวิศวกรรมโลหะจากประเทศญี่ปุ่นกลับมาช่วยงาน โดยเป็นคนรับงานจากลูกค้า และช่วยดูแลเพจร้าน ส่วนน้องชายอีกคน ก็ช่วยงานด้านโซเชียล ทั้งเฟซบุ๊ก และตอบลูกค้าในเพจร้าน ทำให้กิจการเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันสามารถซื้อบ้านและซื้อรถยนต์ได้ และยังมีรายได้เลี้ยงดูพ่อแม่ให้สบายอีกด้วย
ช่างนัท กล่าวต่อว่า ที่ตนอยู่ได้ทุกวันนี้ โดยไม่เคยคิดสั้น หรือน้อยใจในโชคชะตาชีวิตของตัวเอง ถึงแม้ว่าร่างกายจะพิการ แต่ตนก็ไม่เคยนำปมด้อยของตัวเองมาเป็นสิ่งที่ทำลายชีวิต ความฝัน อนาคต แต่กลับมีแรงผลักดันและแรงบันดาลใจที่จะต่อสู้ชีวิต ถึงแม้ครั้งหนึ่ง จะเคยมีคนดูถูกว่าตนนั้นร่างกายพิการ จะไปได้ถึงไหนกันเชียว ตนก็เก็บคำพูดเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันและสร้างแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นสู้ โดยสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนคนอื่นทั่วไป
ส่วนหนึ่งตนเชื่อว่าตนมีกำลังใจที่ดี จากครอบครัวที่อบอุ่น ที่ให้ความรักมาโดยตลอดตั้งแต่เล็กจนโต จนทำให้ตนรู้สึกว่า ตนต้องไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ตนต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ ไม่ยอมแพ้โชคชะตา และตนก็เชื่อว่า ความรักของครอบครัวและความเชื่อมั่นในตัวเอง จะสามารถทำให้ชีวิตตัวเองมีคุณค่าได้ จึงอยากให้เรื่องราวของตนสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่พิการ และ คิดท้อแท้กับชีวิต ขออย่าสิ้นหวัง เมื่อเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะทำได้ พร้อมทิ้งทาย กับ คติในการใช้ชีวิตของช่างนัท ว่า “ ใจที่ยอมรับ แต่ไม่เคยยอมแพ้ ”
ด้าน นายฤทธิเบศธ์ กล่าวว่า ตนพอมีความรู้ด้านไอทีอยู่แล้ว ตนจึงทำเพจร้านทองของครอบครัวขึ้นมา มีการลงรูปการเลี่ยมกรอบพระแบบต่างๆ มากมาย และมีผู้ติดตามจำนวนมาก จนประสบความสำเร็จ ขณะที่ นายขวัญเมือง กล่าวว่า ตนได้เปิดเพจร้านแหวนทองสุพรรณ และพอมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นจากการทำเลสหลวงพ่อรวย ก็เริ่มมีกระแสตอบรับที่ดี หลังจากนั้นจึงเริ่มเปิดเพจงานสั่งทำ เช่น แหวนเพชร งานป้านชื่อ งานสั่งทำต่างๆ และไม่ได้ขายแค่ประเทศไทย ยังมีชาวต่างชาติ เช่น ประเทศจีน มาเลเซีย สิงคโปร ที่ให้ความสนใจและสั่งร้านเราทำส่งไปประเทศต่างๆ เหล่านี้อีกด้วย
หลังจากนั้นพอเริ่มมีทุนมากขึ้น จึงหันมาลงทุนทองคำรูปพรรณ เพื่อให้ลูกค้าที่มาเข้าชมร้านได้มีตัวเลือกในการชมสินค้า หลักๆ จะเป็นพวกสร้อยคอ เลสข้อมือ แหวนทองคำ แหวนเพชร เพราะถ้าลูกค้าท่านไหนชอบก็สามารถซื้อได้เลย ไม่ต้องรอทางร้านทำเพราะกว่าจะทำเสร็จต้องใช้เวลา 7 – 10 วันโดยประมาณ ซึ่งลูกค้าก็ตอบรับเป็นอย่างดี
ส่วนที่ว่าทำไมถึงคิดที่ทางร้านมาเปิดร้านทองคำรูปพรรณช่วงการเกิดโรคระบาดโควิด-19 นั้น ตนคิดว่า ผลตอบรับจากลูกค้าที่ผ่านมาก่อนการเกิดโรคระบาดนั้น ฐานลูกค้าที่ทางร้านมีถือว่ามีลูกค้าจำนวนมากอยู่แล้ว และบางทีทางร้านก็ทำไม่ทันอีกด้วย แต่ลูกค้าก็ลดลงตามเศรษฐกิจนะปัจจุบัน แต่ว่าไม่มีผลกระทบต่อการผลิตเราก็ประคับประคองกันมาได้ ทางร้านเราทำเต็มที่
จริงๆ แล้วการเปิดร้านขายทองรูปพรรณของทางร้าน เริ่มแรกเรามีขายให้ลูกค้าแค่ไม่กี่เส้น โดยเริ่มจากตู้เล็กๆ ก่อน พอเงินทุนเริ่มเยอะจึงขยับเพิ่มตู้ขึ้นมา เพราะเรามีความสามารถในการผลิตอยู่แล้ว เราจึงมีการเตรียมผลิตสินค้าให้ลูกค้าได้เลย ถ้าลูกค้าชอบแบบไหนเข้ามาเลือกชมได้เลยไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ เลส แหวนเพชร ที่ไม่ค่อยเหมือนใคร ทางร้านเรามีการเพิ่มหรือลดขนาดได้เลย เรามีความพร้อมมาก
ช่างนัท กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ประกอบธุรกิจในขณะนี้ ทุกคนประสบปัญหาด้วยกันทั้งนั้น อาจจะเหนื่อยเพิ่มมากขึ้นมาหน่อย แต่เราก็จะผ่านพ้นมันไปได้ ก็ขอให้ทุกๆ คนผ่านพ้นสถานการณ์โควิดไปให้ได้ สุดท้ายก็ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิต