ผ่ามุมมองลงทุนหุ้นสหรัฐ ก้าวถัดไปหลังฟื้นถึงจุดพีค

ทันหุ้น-กองทุนบัวหลวง ผ่ามุมมองลงทุนหุ้นสหรัฐ หลังฟื้นตัวแรง จับตาก้าวต่อไป หลังเฟดมีแผนลดวงเงินQE ที่อาจทำให้ตลาดหุ้นผันผวนอีกครั้ง ขณะที่ยุทธศาสตร์ฟื้นฟูสหรัฐยังเป็นตัวหนุนให้เศรษฐกิจแกร่งในระยะถัดไป มุมมองกองทุนบัวหลวง ยังมั่นใจหุ้นสหรัฐ
ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา Chief Economist บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ กองทุนบัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐถือเป็นขุมทรัพย์การลงทุนขนาดใหญ่ที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ แม้จะเต็มไปด้วยโอกาส แต่ก็มีหลายปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตาม ทั้งเรื่อง นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตัวเลขเงินเฟ้อ ตัวเลขการจ้างงาน และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในสภาคองเกรส ในมุมมองนโยบายการเงินของเฟดนักลงทุนต้องจับตาว่าเฟดจะทำอะไรต่อไป หลังจากการอัดสภาพคล่องเพื่อซื้อสินทรัพย์จากสถาบันการเงินจนเป็นเหตุให้สภาพคล่องล้นตลาดจนเข้าสู่ตลาดทุนและทำให้ตลาดทุนเดินตามเกมนโยบายการเงินของเฟดอยู่ตลอด
ซึ่งเงินเฟ้อจะเป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่เฟดมอง ดร.มิ่งขวัญ ชี้ว่า เรื่องนี้ก็สืบเนื่องมาจากนโยบายการเงินของเฟดนั่นเอง เพราะ KPI อย่างหนึ่งของเฟด คือ เงินเฟ้อ ที่เฟดวางเป้าหมายที่ 2% แต่เวลานี้อัตราเงินเฟ้อเกินกว่า 2% ไปมากแล้ว จากความต้องการสินค้าล้นตลาด เพราะอั้นไว้นานในช่วงที่ล็อคดาวน์จากโควิด-19 ดังนั้นก็คงต้องจับตากันต่อไปว่า ถ้าเงินเฟ้อกลับมาสู่ระดับปกติ คือ ปรับขึ้นเดือนละ 0.2-0.3% แล้ว เฟดอาจกลับมาสนใจตัวชี้วัดนี้อีกครั้ง
เรื่องที่ต้องดูการจ้างงาน เพราะการจ้างงานเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นช้ากว่าตัวอื่นๆ เฟดเองก็น่าจะรอดูการจ้างงานก่อน หากดีขึ้นแล้ว จึงพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกรอบ ซึ่งเฟดจะเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินหรือไม่นั้นก็มีความเป็นไปได้ว่า อาจจะเห็นเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2565
ดร.มิ่งขวัญ กล่าวอีกว่า การลดหรือชะลอซื้อสินทรัพย์สภาพคล่อง ที่เรียกว่า ทำ taper นั้น ไม่อยากให้นักลงทุนไปกังวลกับประเด็นนี้มาก เพราะการทำ taper ไม่ได้แปลว่า ลดอย่างเดียว แต่อาจหมายถึงคงระดับไว้ก็ได้ เพราะเฟดก็ต้องการแน่ใจว่าสถาบันการเงินที่นำสินทรัพย์มาขายให้จะอยู่ได้และคงต้องเห็นอัตราดอกเบี้ยไต่ขึ้นไปช่วงหนึ่งก่อนจึงจะเห็นการลดซื้อสินทรัพย์เกิดขึ้น
ประเด็นเรื่องการผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในสภาคองเกรส ซึ่งโดยปกติแล้ว ประธานาธิบดีไม่ใช่คนที่มีความสำคัญมากๆ ในสภาคองเกรส คนที่สำคัญสุด คือ ประธานสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และประธานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ซึ่งก็คือ ชัค ชูมเมอร์ กับแนนซี่ เพโลซี เวลาจะผลักดันนโยบายอะไรให้ผ่านสภาคองเกรส ต้องผ่านทั้ง สส. สว. ซึ่งการจะทำอย่างนี้ได้ เสียงส่วนมากต้องเป็นเดโมแครตชนะ
ปัจจุบันนโยบายที่ผลักดันสำเร็จมีอย่างเดียว คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยเรื่องโควิด มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน Build Back Better แผนยุทธศาสตร์ฟื้นฟูสหรัฐฯ ของโจ ไบเดน แต่นโยบายอื่นๆ เช่น พ.ร.บ. ว่าด้วยการเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันทางอุตสาหกรรม เน้นหนักที่กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ และกฎหมายลูกเกี่ยวกับชิปยังค้างอยู่ในสภา ยังผลักดันไม่สำเร็จ หากนโยบายนี้ผลักดันสำเร็จจะมีมูลค่าหลักแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ และยานยนต์ได้อานิสงส์
นอกจากนี้ ใน Build Back Better ยังมีอีก 2 เรื่องที่ยังไม่ได้ผลักดันให้สำเร็จ คือ โครงการโครงสร้างพื้นฐานและพ.ร.บ. ว่าด้วยเรื่องครอบครัวสหรัฐฯ ที่มีเรื่องให้การศึกษาเด็ก ซึ่งถ้าผลักดันได้ ก็จะทำให้มีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ค่อนข้างมาก เช่น กลุ่มพลังงานสะอาด กลุ่มก่อสร้าง เป็นต้น
ดร.มิ่งขวัญ แนะนำว่า ถ้าตัดเรื่องทิศทางนโยบายการเงินออกไป แล้วไปดูผลตอบแทนที่หุ้นสหรัฐฯ ทำได้ต่อปี จากข้อมูลในอดีต พบว่า มีน้อยปีมากๆ ที่ผลตอบแทนจากหุ้นสหรัฐฯ ติดลบ ภาพรวมส่วนใหญ่จะให้ผลตอบแทนที่ดีหลายปีติดต่อกัน ดังนั้น ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็เชื่อว่า ผู้จัดการกองทุนสามารถหากลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์นั้นๆ ได้