ในโลกของที่ทำงาน การพูด การสื่อสารเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เราคิดว่าคงไม่มีอะไรมากนักหรอก แค่ทักษะทำงานตรงหน้าให้มันเหนือกว่าคนอื่นๆเพื่อให้หัวหน้าอยากจ้างงานเราต่อก็เหนื่อยหนักหนามากแล้ว ยังต้องมาแคร์เรื่องคนในที่ทำงานด้วยหรือ ?...เรากลับมาใส่ใจทีหลังก็ต่อเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมาแล้ว...และความขัดแย้งในที่ทำงานก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ต่อให้เราจะพยายามอย่างไรก็ตาม ดังนั้น เราจะทำอย่างไรที่จะสื่อสารเพื่อให้ได้ทั้งใจคนและไห้งานยังออกมาดี Renee Evenson ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้จะมาถ่ายทอดศิลปะแห่งการใช้คำพูดเพื่อจบปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ทำงานจากประสบการณ์สายงานของเธอที่ต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า เพื่อนร่วมงาน และเจ้านาย ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดได้ทุกเมื่อ แต่ยังต้องรักษาหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเองให้เดินหน้าต่อไปได้ ความรู้ความประทับใจที่ได้ในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่าพยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า ตลอด หรือคำว่า ไม่เคย เพราะถ้าคุยกับคนอื่นด้วยคำทั้งสองนี้ อีกฝ่ายมักจะสนใจจะเถียงมากกว่าเข้าใจสิ่งที่เราจะสื่อ แล้วเขาก็จะมีแนวโน้มใช้อารมณ์ในการพูดมากขึ้น ได้เรียนรู้ว่ากฎข้อแรกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งคือ อย่าเปิดการสนทนาด้วยคำว่า คุณ เช่นคุณพูดมากเกินไปแล้วคุณไม่เคยยอมรับความผิดพลาดของตัวเองเลยไม่อย่างนั้น บทสนทนาอาจจบลงด้วยความโกรธเคือง เกิดการตะคอก และโทษกันไปมา ได้เรียนรู้ว่าจังหวะเป็นสิ่งสำคัญมากเวลาจะแก้ปัญหาใดๆ ดังนั้น ก่อนจะเริ่มคุยกัน เราต้องมั่นใจว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะสม เราต้องถามเพื่อให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายพร้อมที่จะคุย ถ้าอีกฝ่ายยังไม่สะดวก ให้ถามเลยว่าเขาจะสะดวกเมื่อไหร่ แล้วนัดเวลาที่ทั้งสองฝ่ายสะดวกทั้งคู่ ได้เรียนรู้ว่าการพูดขอโทษไม่ได้แปลว่าเราจะเป็นคนผิด แต่หมายถึงเราอยากแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้และเป็นฝ่ายประสานรอยร้าวในความสัมพันธ์ แต่ในบริบทคนไทย...หากขอโทษอย่างไม่จริงใจ ขอโทษแบบขอไปที หรือมีเหตุให้ต้องขอโทษบ่อย ระวังผลที่จะตามมาด้วย ได้เรียนรู้ว่าคำขอโทษอย่างจริงใจมีพลังอำนาจสูงมาก เพราะช่วยลดโทสะ ลดทิฐิ และปลอบประโลมความรู้สึกได้ เราไม่จำเป็นต้องขอโทษตลอดบทสนทนาก็ได้ แต่ถ้ามันช่วยให้บทสนทนาดำเนินต่อไปได้ จะลองดูก็ไม่เสียหาย ได้เรียนรู้ว่านอกจากรู้จักควบคุมสีหน้าแล้ว การยิ้มบ่อยๆก็ช่วยให้สีหน้าของเราเป็นไปในเชิงบวก และสร้างความรู้สึกได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเจอปัญหาใดๆ รอยยิ้มที่จริงใจจะแสดงให้เห็นว่าเราเปิดใจพร้อมรับฟังอีกฝ่ายและมีความตั้งใจจะพูดคุยเพื่อแก้ปัญหา แต่ถ้าเราโกรธจนยิ้มไม่ออก แค่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก็ช่วยได้บ้างแล้ว มันดูน่ามองขึ้นเยอะ ได้เรียนรู้ว่าหากโกรธหรือไม่พอใจ ให้สงบสติอารมณ์ก่อน คงสีหน้าเป็นกังวลและจริงใจเอาไว้ ไม่ควรแสดงสีหน้าโกรธบึ้งตึง เทคนิคก็ไม่ยาก เงยหน้ามองตรง อย่าก้มหน้าหรือมองเอียงไปด้านหนึ่ง สบตาแต่ไม่ถึงกับจ้อง ถ้าจังหวะสบโอกาสก็ส่งให้ยิ้มให้ก็ได้ ยกมุมปากเล็กน้อยเพื่อแสดงความเป็นมิตรในสถานการณ์ขณะนั้น ขยับคิ้วเพื่อช่วยเสริมคำพูด เลิกคิ้วเพื่อแสดงว่าเราสนใจ ขมวดคิ้วเพื่อแสดงว่าเรากังวลหรือสับสน พยักหน้าเป็นครั้งคราวเพื่อแสดงว่าเรารับฟังอีกฝ่าย ได้เรียนรู้ว่าการพูดกับคนอื่นก็พูดด้วยความมั่นใจ อธิบายมุมมองของตัวเองอย่างชัดเจน ใจเย็น แสดงความเห็นก็ต้องไร้อคติ ไม่ขอโทษเกินความจำเป็นแต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาพูดว่าร้ายเรา ทั้งนี้เรายังคงปฏิบัติตัวด้วยความเคารพและคิดถึงผู้อื่นโดยไม่ตัดสินใครจนกว่าจะได้คุยกับอีกฝ่ายก่อน อย่าพูดแทรกขัดใครถ้าไม่จำเป็น รับฟังคำตอบจากอีกฝ่ายให้ดีจะได้เข้าใจว่าเขามองปัญหาอย่างไร ได้เรียนรู้ว่าถ้ามีใครเกิดไม่พอใจหรือควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ให้เราแสดงออกว่ารับรู้และเลื่อนการพูดคุยออกไปก่อนจนกว่าอีกฝ่ายจะใจเย็นลง ได้เรียนรู้ว่าถ้าอยากให้เราสงบสติอารมณ์เมื่อรู้สึกโกรธ ให้พูดโดยใช้น้ำเสียงเบาและช้าลงจะช่วยให้เราใจเย็นลงได้ ได้เรียนรู้ว่ากฎพื้นฐานที่จำเป็นเมื่อถึงเวลาแก้ปัญหา ประกอบด้วย สงบนิ่งเข้าไว้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดกับเราอย่างไร ปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความเคารพเสมอ คอยดูและฟังก่อนจะพูดอะไรออกไป และถ้าเป็นไปได้ลองถามมุมมองของบุคคลที่เป็นกลางดู (ถ้ามันช่วยแก้ปัญหาได้นะ) ได้เรียนรู้ว่าหลีกเลี่ยงการบ่นในตัวผู้อื่นให้บุคคลที่สามฟัง ถ้าต้องทำงานกับคนที่ชอบนินทาคนอื่นให้ฟัง เขาก็มีโอกาสที่จะนินทาเรากับคนอื่นด้วยเหมือนกัน บางคนก็ชอบกดคนอื่นให้ต่ำลงและมักทำลงไปเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น มีความสำคัญมากขึ้น และดูฉลาดขึ้นในสายตาคนอื่นด้วย วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าพูดว่าร้ายใคร และอย่าไปร่วมวงสนทนาเพื่อนินทาคนอื่นด้วย อย่าเอาตัวเองเข้าไปเอี่ยวในเรื่องเหล่านั้น ได้เรียนรู้ว่าเวลามีใครพูดถึงเราในแง่ลบ ให้เรามองมันในเชิงบวก ถ้ามันเป็นเรื่องจริง นี่คือโอกาสในการเติบโตของเรา ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงก็เป็นโอกาสให้เราพัฒนาทักษะการพูดโดยอธิบายให้มันดีขึ้น การพูด การสื่อสารในที่ทำงานมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บ่อยครั้งมีเรื่องของอารมณ์และอคติส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง การสื่อสารแบบให้เขาเปิดใจถึงเหตุผลจึงเป็นทักษะแบบ Soft Skill ที่ต้องฝึกฝน ยิ่งถ้าเราเป็นคนเข้าทำงานใหม่ หรือน้องใหม่ในที่ทำงาน ก็จะต้องรู้และเข้าใจการสื่อสารให้เป็น เพราะเราด้อยอำนาจในองค์กรจึงง่ายที่จะถูกกดดัน หรือถูกตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม หรือด้วยความเข้าใจผิดได้ ซึ่งถ้าผลลัพธ์ในทางร้ายมันเกิดขึ้นแล้วจะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้เลย นอกจากการพูดแล้ว ครีเอเตอร์มองว่าทักษะการเข้าหาคน เข้าใจความรู้สึกคนอื่นโดยที่ไม่ต้องให้คนอื่นมาบอกความรู้สึกของตัวเองตรงๆก็เป็นสิ่งจำเป็น ไม่มีใครหรอกที่จะมาสาธยายความรู้สึกของตัวเอง โดยเฉพาะสังคมในที่ทำงาน การเข้าหากับคนอื่น กลมกลืนในสังคมก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้การสื่อสารหรือร้องขออะไรบางอย่างในที่ทำงานสามารถเจรจาต่อรองได้ง่ายขึ้น เราอยู่ในสังคมที่ทำงานยาวนานกว่าอยู่ที่บ้านอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าความสัมพันธ์กับคนอื่นในที่ทำงานเป็นไปด้วยดี เราย่อมทำงานที่นั่นได้อย่างมีความสุข เครดิตภาพภาพปก โดย freepik จาก freepik.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย pressfoto จาก freepik.com ภาพที่ 4 โดย freepik จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ พูดให้ง่ายๆคือไม้ตายของคนเก่งรีวิวหนังสือ THE BETTER ME MODEL ฮาวทู เกลา ชีวิตให้ดีกว่าเดิมรีวิวหนังสือ ภาระที่อมไว้ คายออกมาเถอะนะรีวิวหนังสือ คิด ทำอย่างฉลาด สู่โอกาสรุ่งในองค์กร (The Rules of Work)รีวิวหนังสือ ความลับของที่ทำงาน ตอน ฉันต้องอยู่ได้และอยู่รอดเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !