Grandia III... ภาคต่อของตำนาน JRPG ที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ในวงการเกม ใครจะลืม จัสติน เด็กหนุ่มผู้กล้าหาญจาก Grandia ภาคแรก หรือ ริวโด นักดาบผู้มีอดีตอันลึกลับจาก Grandia ภาค 2 พวกเขาเหล่านั้นคือตัวละครที่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของแฟนๆ จนถึงทุกวันนี้ ในฐานะแฟนตัวยงของซีรีส์ ผมเฝ้ารอคอยภาค 3 อย่างใจจดใจจ่อ หวังว่ามันจะสานต่อความยิ่งใหญ่ สร้างความประทับใจไม่รู้ลืม และมอบประสบการณ์สุดมหัศจรรย์ให้ผมอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว ความรู้สึกหลังจากที่ได้สัมผัส Grandia III กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งประทับใจ ผิดหวัง และ...ว่างเปล่า เหมือนกับได้ขึ้นไปเหยียบเมฆบนท้องฟ้า แต่กลับพบว่าเบื้องบนนั้น ไม่มีอะไรเลย เรื่องราวและตัวละคร: เมื่อความทะเยอทะยานไม่สัมพันธ์กับความลึกซึ้ง Grandia III พาเราไปพบกับ ยูกิ เด็กหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักบินเหมือนกับพ่อของเขา เขาอาศัยอยู่กับแม่ในหมู่บ้านเล็กๆ ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่แล้ววันหนึ่ง โชคชะตาก็นำพาให้เขาได้พบกับ อัลฟิน่า หญิงสาวปริศนาผู้มีพลังพิเศษ และได้ออกเดินทางผจญภัยไปพร้อมกับเธอ พล็อตเรื่องหลักๆ คือการปกป้องอัลฟิน่าจากองค์กรลึกลับที่ต้องการใช้พลังของเธอ และการไขปริศนาเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพลังนั้น ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจใช่ไหมล่ะ? แต่น่าเสียดายที่ในความเป็นจริงแล้ว การดำเนินเรื่องกลับค่อนข้างเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ขาดความซับซ้อน ขาดปมปริศนาที่น่าติดตาม และขาดจุดหักมุมที่น่าตื่นเต้น องค์กรลึกลับที่เป็นศัตรูหลักก็ดูไม่มีแรงจูงใจที่ชัดเจน เหมือนกับใส่เข้ามาเพื่อให้เป็นตัวร้ายเฉยๆ ตัวละครใน Grandia III ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังอย่างมาก ถึงแม้จะมีการออกแบบตัวละครที่สวยงาม โดยเฉพาะ อัลฟิน่า ที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล แต่บุคลิกของตัวละครแต่ละตัวกลับค่อนข้างจืดชืด ขาดมิติ และการพัฒนาตัวละครก็ทำได้ไม่ดีนัก ตัวอย่างเช่น ยูกิ ที่เริ่มต้นด้วยความฝันอันแรงกล้า แต่ตลอดการเดินทาง ความฝันนั้นกลับไม่ได้ถูกขัดเกลา ไม่ได้เติบโตขึ้น เหมือนกับว่าเขาแค่บินไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเป้าหมายที่แท้จริง ผมไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละครเหล่านี้เลย แม้กระทั่ง ยูกิ ตัวเอกของเรื่อง ก็ยังดูจืดชืดเมื่อเทียบกับ จัสติน จาก Grandia ภาคแรก ที่มีความสดใส ร่าเริง และมุ่งมั่น หรือ ริวโด จาก Grandia ภาค 2 ที่มีความเท่ มีปมหลังที่น่าสนใจ และมีพัฒนาการทางความคิดที่ชัดเจน ระบบการต่อสู้: สนุก เร้าใจ แต่ขาดความลึกซึ้ง สิ่งหนึ่งที่ Grandia III ทำได้ดีและยังคงรักษามาตรฐานของซีรีส์เอาไว้ได้คือระบบการต่อสู้ เกมยังคงใช้ระบบ turn-based ที่ผสมผสานกับ real-time ทำให้การต่อสู้มีความรวดเร็ว เร้าใจ และต้องใช้กลยุทธ์ในการต่อสู้ เราต้องวางแผนการโจมตี เลือกใช้สกิลให้เหมาะสม และคอยสังเกตจังหวะของศัตรู ตัวเกมมีระบบ "Cancel" ที่ทำให้เราสามารถขัดจังหวะการโจมตีของศัตรูได้ ซึ่งเป็นระบบที่สนุกและท้าทาย ต้องใช้ไหวพริบในการอ่านเกม และกะจังหวะให้แม่นยำ นอกจากนี้ ยังมีท่าไม้ตายแบบ combo ที่อลังการงานสร้าง มีเอฟเฟคแสงสีเสียงตระการตา อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าระบบการต่อสู้ในภาคนี้ขาดความลึกซึ้งไปหน่อย เมื่อเทียบกับภาคก่อนๆ ตัวเกมมีสกิลให้เรียนรู้น้อย และไม่มีระบบ "Mana Egg" ที่เป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์ Grandia ซึ่งทำให้เราสามารถปรับแต่งเวทมนตร์ได้อย่างอิสระ ผสมผสานเวทมนตร์ต่างๆ เพื่อสร้างเวทมนตร์แบบใหม่ ทำให้การพัฒนาตัวละครมีความหลากหลาย สามารถสร้างตัวละครที่มีสไตล์การต่อสู้ที่แตกต่างกันได้ กราฟิกและเสียง: สวยงามตามยุคสมัย ในด้านของกราฟิก Grandia III ถือว่าทำได้ดี ภาพในเกมมีความสวยงาม สีสันสดใส ฉากต่างๆ ถูกออกแบบมาอย่างดี โดยเฉพาะฉากท้องฟ้าและเมฆ ที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจ รายละเอียดของเมฆ แสงเงา และท้องฟ้า ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีต ราวกับภาพวาด ตัวละครในเกมก็มีโมเดลที่สวยงาม แม้จะดูแข็งๆ ไปบ้างตามสไตล์เกมยุค PS2 แต่ก็มีรายละเอียดของเสื้อผ้า ทรงผม และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ดูสมจริง ดนตรีประกอบในเกมก็ถือว่าทำได้ดี มีเพลงประกอบที่ไพเราะหลายเพลง โดยเฉพาะเพลงในฉากต่อสู้ ที่ช่วยเพิ่มความเร้าใจให้กับการเล่น ดนตรีมีจังหวะที่เร้าใจ มีการใช้เครื่องดนตรีหลากหลายชิ้น และมีทำนองที่ติดหู สรุป: ความผิดหวังที่แฝงไปด้วยความประทับใจ Grandia III เป็นเกมที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในด้านของระบบการต่อสู้และกราฟิก เกมนี้ทำได้ดี แต่ในด้านของเนื้อเรื่อง ตัวละคร และความลึกซึ้งของระบบ กลับทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เหมือนกับอาหารจานหรูที่หน้าตาสวยงาม แต่รสชาติกลับจืดชืด ความรู้สึกของผมหลังจากเล่น Grandia III จบ คือความผิดหวัง ผมคาดหวังกับเกมนี้ไว้มาก หวังว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น ประทับใจ และจดจำไปอีกนาน แต่สุดท้ายแล้ว มันกลับไม่สามารถมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำเหมือนภาคก่อนๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงรู้สึกประทับใจกับบางส่วนของเกม เช่น ระบบการต่อสู้ กราฟิก และดนตรีประกอบ Grandia III อาจจะไม่ใช่เกม JRPG ที่ดีที่สุด แต่มันก็ยังคงเป็นเกมที่ควรค่าแก่การเล่น สำหรับแฟนๆ ของซีรีส์ Grandia หรือคนที่กำลังมองหาเกม JRPG สนุกๆ เล่น คะแนน: 7/10 สิ่งที่ผมชอบ: ระบบการต่อสู้ที่รวดเร็วและเร้าใจ มีระบบ Cancel ที่เพิ่มความท้าทาย กราฟิกที่สวยงาม โดยเฉพาะฉากท้องฟ้า ดนตรีประกอบที่ไพเราะ มีเพลงติดหูหลายเพลง สิ่งที่ผมไม่ชอบ: เนื้อเรื่องที่เรียบง่ายและขาดความลึกซึ้ง ตัวร้ายไม่มีแรงจูงใจที่น่าสนใจ ตัวละครที่จืดชืดและขาดมิติ ไม่มีการพัฒนาตัวละครที่ดี ระบบการพัฒนาตัวละครที่ขาดความหลากหลาย ไม่มีระบบ Mana Egg ประสบการณ์ระหว่างเล่น: ตอนที่ผมเริ่มเล่น Grandia III ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเป็นแฟนเกมซีรีส์นี้ ช่วงแรกๆ ของเกม ผมสนุกกับการสำรวจโลก ต่อสู้กับมอนสเตอร์ และทำความรู้จักกับตัวละครต่างๆ ผมชอบบรรยากาศของเกม ที่ดูสดใส มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยความฝัน แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันเรียบง่ายเกินไป ตัวละครก็ไม่ค่อยมีเสน่ห์ ความรู้สึกตื่นเต้นในตอนแรก เริ่มจางหายไป เหมือนกับกำลังเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าปลายทางอยู่ที่ไหน หรือเหมือนกับการบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่กลับพบว่าเบื้องบนนั้น ไม่มีอะไรเลย ผมพยายามมองหาจุดเด่นของเกม พยายามทำความเข้าใจกับตัวละคร พยายามอินไปกับเนื้อเรื่อง แต่ก็ไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในใจได้ ผมรู้สึกเสียดายศักยภาพของเกมนี้ เพราะมันมีพื้นฐานที่ดี มีระบบการต่อสู้ที่สนุก มีกราฟิกที่สวยงาม แต่กลับถูกทำลายด้วยเนื้อเรื่องและตัวละครที่ไม่น่าจดจำ ถึงแม้จะผิดหวัง แต่ผมก็ยังคงเล่นจนจบ เพราะอยากรู้ว่าเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร และอยากเห็นฉากจบของเกม ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าฉากจบทำออกมาได้ดี มีความสวยงาม มีความหมาย และทิ้งท้ายได้อย่างน่าประทับใจ แต่ก็ไม่สามารถลบความรู้สึกผิดหวังทั้งหมดได้ ผมเชื่อว่า Grandia III คงเป็นเกมที่อยู่ในความทรงจำของผมไปอีกนาน แต่ไม่ใช่ในฐานะเกมที่ยอดเยี่ยม แต่เป็นเกมที่ทำให้ผมรู้สึกเสียดาย เสียดายโอกาส เสียดายศักยภาพ และเสียดายความทรงจำดีๆ ที่มีต่อซีรีส์ Grandia เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !