เมื่อวานนี้ (11 กรกฎาคม 2566) ทาง Nothing Phone แบรนด์มือถือสุดอินดี้ ก็ได้เปิดตัวสินค้าใหม่อย่าง Nothing Phone (2) อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นเราก็ได้เคยรีวิวและแนะนำให้รู้จักกับ Nothing Phone (1) กันไปแล้ว เพื่อนๆ สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ ส่อง Nothing Phone มือถือน่าซื้อจริงไหม? มันมีอะไรดีกันนะ? ได้ครับ โดยในบทความของ TamKung วันนี้เราจะมาไปส่อง Nothing Phone (2) มีดีที่ตรงไหน ทำอะไรได้บ้าง กันครับต้องเท้าความกันก่อนว่า Nothing Phone เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่น่าจับตามอง เพราะจากความสามารถของอดีตผู้ก่อนตั้ง OnePlus จากลอนดอน ที่ค่อนข้างเชื่อได้ว่า คุณภาพนั้นจะถูกคัดสรรอย่างแน่นอน โดยนี่ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่ 2 แล้วหลังจากที่ Nothing Phone รุ่นที่ 1 ออกมาวางจำหน่ายเมื่อประมาณปีที่แล้ว และก็มีกระแสอย่างฮือฮาทั้งเรื่องการออกแบบ และความโดดเด่นที่แตกต่างจากโทรศัพท์มือถือจากค่ายอื่นๆ นั่นเอง ดังนั้นในวันนี้เรามาลองส่องกันดีกว่า ว่าใน Nothing Phone (2) มันจะมีดีที่ตรงไหน แล้วมีอะไรที่โดดเด่น แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้หรือไม่ เรามาหาคำตอบกับสเปกของ Nothing Phone (2)ชิปประมวลผล Snapdragon® 8+ Gen 1 พร้อมโปรเซสเซอร์ HTP V69 4xHVX Gen 2หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว แสดงผลด้วย OLEDความละเอียด 2412 x 1080 พิกเซล อัตรา Refresh Rate 1-120 Hzกล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Sony IMX890กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Samsung JN1กล้องหน้า ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Sony IMX615บันทุกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K อัตรา 60 fps ร้องรับระบบ OIS และ EISแบตเตอรี่ 4,700 mAh รองรับการชาร์จไร้สาย 45Wชิปประมวลผลครั้งนี้ได้รับการพัฒนามาจากรุ่นเดิม โดยเปลี่ยนชิปประมวลผลครับ จากรุ่นก่อนที่เลือกใช้ Qualcomm® Snapdragon™ 778G+ ก็เปลี่ยนมาเป็น Snapdragon® 8+ Gen 1 และแน่นอนว่ามันได้รับการพัฒนาให้ทำงานได้เร็วขึ้น จากการเป็นชิปจากทาง Qualcomm ที่เป็นชิปได้รับความนิยมมาใส่ในโทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบัน ก็คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องความไว ความเร็วนะครับ แต่อย่างหนึ่งที่ผมจะรู้สึกเสียดายคือ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะได้เป็น Gen 2 ที่เป็นเหมือนโทรศัพท์มือถือเรือธงของค่ายอื่นๆ แต่อย่างที่บอกครับ มันยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกการออกแบบต้องเรียกว่าการออกแบบของทาง Nothing Phone ถือว่าเป็นอะไรที่แปลก แหวกแนวที่สุดที่เราจะสามารถหาได้ในตอนนี้ กับการดีไซน์ให้ตัวฝาหลังของเครื่องเป็นกระจกใส ให้มองทะลุเห็นตัวเครื่องด้านใน โดยมีความโดดเด่นที่ตรงการเอาหลอดไฟ LED มาเรียงกัน จนกลายเป็นการโทรศัพท์มือถือที่มีการออกแบบที่แหวกแนวที่สุดครับแต่แม้จะเป็นกระจกแต่ก็แข็งแรง ด้วย Corning® Gorilla® Glass ที่รับรองว่าเป็นกระจกที่โคตรจะทน ทนรอยขีดรอยข่วนได้ค่อนข้างดี แถมมาตราฐาน IP54 กันน้ำ กันฝุ่นอีกด้วย ทำให้เรามั่นใจได้ว่า Nothing Phone (2) จะอยู่กับความทนที่ดีมากๆ เลยละครับGlyph Interface เรียกได้ว่า Glyph Interface เป็นอีกหนึ่งตัวที่ชูโรงให้กับ Nothing Phone (2) เลย โดยเขาเป็นตัวที่จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจและรับรู้ได้กับทุกสถานการณ์ของโทรศัพท์มือถือของเรา โดยที่ทุกครั้งที่มีการแจ้งเตือนหรือการมีสายเรียกเข้า เราก็สามารถตั้งค่าได้ว่า จะให้เราสามารถรับรู้ได้จากอะไร โดยเฉพาะการแสดงผลเป็นการแสดงผลด้วยแผงจอที่ถูกติดตั้งอยู่ด้านหลังตัวเครื่องนั่นเอง ซึ่งเขาคำนิยามไว้ว่า "การใช้โทรศัพท์โดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์" เราสามารถตั้งค่าได้หลายอย่างเลยครับ ทั้งการเป็นการแสดงไฟสถานะเพื่อการนับเวลาถอยหลังให้กับเราได้ทราบถึงเวลา โดยที่เราไม่ต้องมองจอ หรือจะเป็นการแสดงผลแบตเตอรี่ หรือหากมีใครโทรมาก็ตั้งได้ว่า เราต้องการให้มันกระพริบยังไง เราจะได้เข้าใจในแบบของเรา อิสระอย่างเต็มที่เลยระบบปฏิบัติการเรื่องของระบบปฏิบัติการก็เรียกได้ว่าน่าสนใจไม่น้อย กับการมาถึงของ Nothing OS 2.0 การพัฒนาไปอีกขั้นของความเป็นมินิมอล ซึ่งมันก็ตรงกับชื่อบริษัทละครับ กับ "ความไม่มีอะไร (Nothing)" ที่ทำออกมาได้ตรงใจหลายผู้ใช้งานมากๆ เรียบง่าย แต่ดูสวยงาม แถมดูหรูหราอีกด้วย โดยเป็นการพัฒนามาจาก Android 12 เสถียร ทำให้การใช้งานไม่มีปัญหาอะไร แถมรับประกันการอัปเดตระบบ Android ระยะเวลา 3 ปี และการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยทุก 2 เดือนเป็นระยะเวลา 4 ปีกล้องครั้งนี้มีมาให้ 3 ตัวครับ โดยมีกล้องหน้า ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ของ Sony IMX615 มีฟิลเตอร์ให้เลือกใช้งาน แถมรองรับการถ่ายภาพแบบ HDR ด้วยกล้องหลัง (หลัก) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ Sony IMX890 ที่มีขนาดเซนเซอร์ใหญ่ถึง 1/1.56 นิ้ว พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS และ EIS HDR ขั้นสูง และมี AI scene detection ตัวระบบที่จะช่วยตรวจจับการถ่ายภาพ แล้วเลือกให้อย่างเหมาะสมกับผู้ใช้งานกล้องหลัง (Wide) ความกว้าง 114 องศา ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ Samsung JN1 ขนาดเซนเซอร์ 1/2.76 นิ้วโดยทั้งหมดสามารถบันทึกวิดีโอได้ดีมากๆ โดยสามารถบันทึก 4K ที่ 60 fps หรืออยากเก็บเป็น HDR ก็ได้ที่ 4K30 fps และยังมีโหมด Slow Motion ที่ 480 fps เลย ซึ่งทั้งหมดมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS และ EIS ด้วยความแตกต่างระหว่าง Nothing Phone (1) กับ Nothing Phone (2)ความแตกต่างก็มีให้เราเห็นได้ตั้งแต่ตัวขนาดของเครื่อง โดยอย่างที่เราทราบกันดีว่าในตอนนี้ รุ่นใหม่มีขนาดที่ใหญ่กว่า จอกว้างกว่า หรือจะเป็นเรื่องของชิปประมวลผลก็ได้รับการเปลี่ยนให้ใหม่กว่าเดิม แบตเตอรี่ที่จุไฟได้เพิ่มขึ้น แถมยังมีการเปลี่ยนเซนเซอร์ให้ตัวกล้องใหม่อีก และยังมีเรื่องราวอื่นๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามา นั่นทำให้ Nothing Phone (2) เรียกได้ว่ามีการพัฒนาไปไม่น้อยเลยละครับ หากใครสนใจก็รับว่าคุ้มค่าเลยราคาในตอนนี้เราสามารถเลือกซื้อได้ทั้งหมด 2 สี คือ สีดำเทา (Dark Gray) และสีขาว โดยมีให้เลือกอีก 2 ความจุคือ12 RAM + 256 GB ราคา 24,990 บาท12 RAM + 512 GB ราคา 27,990 บาทอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Nothing Thailand - th.nothing.tech วางจำหน่ายที่ Select Drops ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2566เครดิตรูปภาพหน้าปกรูปที่ 1 | 2 จาก Nothing.techรูปภาพประกอบบทความรูปที่ 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8(1,2) | 9 จาก Nothing.techติดตาม TamKung ได้ที่ TamKung อ่านบทความที่ TrueID CreatorsFacebook: แต้มเองTwitter: แต้มเองเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !