เมื่อประมาณช่วงกันยายนเมื่อปีที่แล้วที่ผ่านมาทางนิตยสาร Fortune ได้ออกบทความเกี่ยวกับหนังสือ 12 เล่มที่น่าสนใจสำหรับฤดูใบไม้ตกหรือ Fall ที่กำลังจะถึงนี้ หนังสือทั้ง 12 เล่มมีตั้งแต่ Super Pumped ที่ตีแผ่เรื่องราวของ Uber ในมุมมองที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน Embrace Your Weird ของ Felicia Day (เฟลิเซีย เดย์) ที่พูดถึงวิธีการจัดการกับความเครียด และ วิธีการรับมือกับความล้มเหลว รวมไปถึง หนังสือเล่มใหม่ของ Ben Horowitz (เบน โฮโรวิตส์) นั่นก็คือ What You Do is Who You Are ซึ่งพูดถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ถูกต้อง โดยการเอาหลักการของการดูแลองค์กรจากผู้นำสมัยก่อนตั้งแต่สมัย เจงกิส ข่าน จนไปถึง ฮิลารี่ คลินตั้น แต่หนังสือที่ผมสนใจมากที่สุด กลับกลายเป็นหนังสือของ Robert Iger (โรเบิร์ต ไอเกอร์) ที่มีชื่อว่า The Ride of A Lifetime : Lessons Learned From 15 Years as a CEO of Walt Disney Company และซึ่งเป็น 1 ในหนังสือ 5 เล่มที่บิล เกตส์แนะนำให้อ่านในปีนี้รวมไปถึงนิยายสุดคลาสสิคของ David Mitchell อย่าง Cloud Atlasผมสนใจหนังสือเล่มนี้มากๆ เพราะเราคงจะไม่ปฏิเสธว่าในรอบ 10 ถึง 20 ปีที่ผ่านมา 1 ในบริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆและยังคงรักษาเอกลักษณ์ของบริษัทคือ Disney สิ่งที่ Disney ทำได้ตอบโจทย์ตลาดทั้งตลาดของคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ ทั้งๆที่ gap ทางตลาดค่อนข้างเยอะ การที่บริษัทอย่าง Disney เข้าซื้อ 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาทั้ง Pixar Marvel Lucasfilm และ Fox พิสูจน์ให้เห็นถึงความมีวิสัยทัศน์ของ Robert Iger ที่มองให้เห็นถึงความเป็นไปได้และศักยภาพของบริษัทเหล่านี้ แต่เรื่องราวของ Robert Iger คงเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีคนที่ชื่อว่า Steve Jobs (สตีฟ จ็อบส์) เมื่อปี 1985 หลังจากที่ Steve Jobs ได้ลงจากตำแหน่ง CEO ของบริษัท Apple สตีฟ จ็อบส์ตัดสินใจสร้างบริษัทใหม่ขึ้นมาชื่อว่า NeXT และได้ไปซื้อฝ่ายแอนิเมชั่นของ George Lucas (จอร์จ ลูคัส) (เจ้าของ Lucasfilm และ ผู้สร้าง Star Wars) ซึ่งหลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น PixarPixar ในสมัยนั้นนำทีมโดย John Lasseter (จอห์น แลเซ็ตเตอร์) กับ Ed Catmull (เอ็ด แคทมูล) ซึ่งในอดีตนั้นสองคนนี้ไม่ได้ทำงานที่ Lucasfilm เป็นที่แรก แต่ทำงานที่ Disney มาก่อน ก่อนที่จะโดนไล่ออกจาก Disney เพราะทาง Disney ไม่เชื่อว่าทางแอนิเมชั่น 3D จะเป็นอนาคตของบริษัท Pixar ในสมัยนั้นทำทั้ง ฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ 1 ในสิ่งที่ Pixar ทำคือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำภาพให้คุณภาพเป็น ภาพ HD ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องแบบนี้ที่สามารถทำให้ภาพละเอียดขนาดนี้ได้ แต่เครื่องนี้ก็สนนราคาอยู่ที่ 135,000 เหรียญสหรัฐ ถึงแม้ว่ามีหลายๆคนให้ความสนใจทั้งในโรงพยาบาล และ สำนักงานใหญ่ๆ แต่เครื่องนี้ก็ขายได้เพียงแค่ 100 เครื่อง ในส่วนของฮาร์ดแวร์นั้น จอห์น ได้สร้างแอนิเมชั่นขึ้นมา โดยเริ่มจากการสร้างหนังสั้นแอนิเมชั่นเวลา 2 นาทีของรูปโคมไฟกระโดดได้ที่ต่อมาเป็นสัญลักษณ์ของ Pixar ชื่อว่า Luxo Jr. ซึ่งได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ด้วยในสาขาหนังแอนิเมชั่นเรื่องสั้น แต่มาได้รางวัลนี้จริงๆในหนังสั้นเรื่อง Tin Toy ใน 2 ปีถัดมา หลังจากนั้นเองถึงแม้ Pixar ได้ประสบปัญหาทางการเงิน แต่ Steve Jobs ก็พยายามทำให้บริษัทนี้ยังอยู่รอดได้โดยการขายส่วนฮาร์ดแวร์ออกไป ในปี 1991 Pixar ได้รับเงินก้อนโตจาก Disney หลังจากที่ Disney สนใจที่จะมาร่วมงานกับทาง Pixar ในโปรเจคเรื่อง Toy Storyตัว Toy Story เปิดตัวตอนปี 1995 ในสัปดาห์เดียวกันที่เปิดตัว Steve Jobs เองได้ออก IPO ของบริษัท พูดได้ว่ากล้าได้กล้าเสียเลยทีเดียวคือว่าถ้าเกิดรุ่งหุ้นก็ก้าวกระโดษขึ้นทันที แต่ถ้าร่วงราคาหุ้นก็ตกตามรายได้หนัง ปรากฏว่าการเสี่ยงได้ผลทั้งราคาหุ้นและยอดขายตั๋วโตขึ้นระเบิดระเบ้อ ทำให้บริษัท Pixar มีมูลค่าสูงถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากนั้นไม่นานตอนปี 1997 ทาง Disney ก็ได้ตกลงเซ็นสัญญากับทาง Pixar ให้ทำหนังอีก 5 เรื่องด้วยกันโดยจะแบ่งทั้งรายได้และค่าใช้จ่ายกัน 50-50 แต่ลิขสิทธิ์หนังจะไปอยู่กับ Disney ซึ่ง CEO ของ Disney ในสมัยนั้นคือ Michael Eisner (ไมเคิล ไอส์เนอร์)หลังจากนั้นไม่นาน Disney กับ Pixar ก็ได้สร้างนั้นพร้อมกันทั้ง A Bug’s Life ตอนปี 1998 และ Monsters Inc. ในปี 2001 หลังจากนั้นไม่นานความสัมพันธ์ระหว่าง Michael Eisner และ Steve Jobs เริ่มแตกหักกัน เนื่องจากว่าสมัยนั้นถึงแม้ว่า Pixar ได้เข้าตลาดหุ้นแล้วก็ยังถือว่าเป็นบริษัท Startup อยู่ดังนั้นในการที่ทำแผนร่วมกันกับทาง Disney ตัว Pixar เองต้องเสียสละมากมายเพื่อได้มาร่วมงานกับ Disneyเรื่องราวยิ่งไปกันใหญ่เมื่อ Pixar ได้ปล่อยหนังเรื่อง Toy Story 2 ออกมา ซึ่งพอ Toy Story 2 ออกมาทั้ง Disney และ Pixar ตอนแรกจะออกเป็นวีดีโอและดีวีดีแทนที่จะเข้าไปในโรงหนังก่อน ได้ตัดสินใจเอาเข้าไปโรงหนังทันที เนื่องจากการสร้างที่สูงขึ้น ปรากฏว่าหนังทำเงินไป 500 ล้านเหรียญทั่วโลก Pixar บอกว่าหนังเรื่องนี้ต้องเข้าไปอยู่ในหนัง 5 เรื่องที่ Disney สัญญาไว้ แต่ Michael กลับปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่ามันเป็นหนังภาคต่อ ในขณะที่ชื่อเสียงของบริษัทเพิ่มมากขึ้น Steve มองว่าตัวเขาและ Pixar ควรได้รับการยอมรับจาก Disney มากกว่านี้ เพราะว่าหนังที่พวกเขาทำขึ้นมาทั้งสร้างสรรค์กว่าและประสบความสำเร็จมากกว่าหนังของ Disney อีก ในส่วนของ Michael ตัวเขาเองก็มองว่า Steve ไม่ได้ให้เครดิตกับทาง Disney เลยในการสร้างหนัง จนกระทั่งปี 2004 ที่ Disney จะต่อสัญญาในการสร้างหนังร่วมกับทาง Pixar ได้ถึงคราวแตกหักระหว่าง Michael Eisner และ Steve JobsDisney พยายามที่จะต่อสัญญาใหม่กับทาง Pixar แต่ตัวของ Steve Jobs เองได้มอบสัญญาใหม่ที่ Disney ไม่อาจจะตกลงได้ เขาได้ขอยื่นเสนอว่า Pixar จะควบคุมการผลิตหนังทั้งหมด และได้สิทธ์ในการครอบครองลิขสิทธิ์หนัง 5 เรื่อง และ Disney จะเหลือเป็นเพียงแค่ผู้ปล่อยหนังออกสู่ตลาดเท่านั้น Michael ตอบปฏิเสธทันที Michael ได้เขียน memo ไปให้บอร์ดของ Disney ในตอนนั้นบอกว่าเขาไม่พอใจกับหนังใหม่ของ Pixar เรื่อง Finding Nemo และถ้าเกิดว่าหนังเรื่องนี้ทำได้ไม่ดี Disney จะมีอำนาจในการต่อรองสูงกว่านี้ และในช่วงเวลามกราคมในปี 2004 Steve Jobs ออกแถลงการณ์กับผู้สื่อข่าวว่า “หลังจากการพยายามหาข้อตกลงกับ Disney เป็นเวลา 10 เดือน พวกเราตัดสินใจเดินหน้าต่อ มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ Disney จะไม่มีบทบาทในความสำเร็จของ Pixar ในอนาคต” เขายังบอกอีกด้วยว่าเขาจะไม่ทำสัญญาใดๆกับ Disney อีกแล้ว Michael ให้สัมภาษณ์ว่ามันไม่สำคัญหรอก พวกเราสามารถที่จะทำภาคต่อของหนังที่เราครอบครองมาได้จาก Pixarแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่ Michael จะปฏิเสธสัญญานั้น เพราะว่าค่าใช้จ่ายมันสูงมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ Disney จะได้ แต่ในสายตาของเหล่าสื่อมวลชนคือการประชันหน้ากับ Steve Jobs ทำให้ Michael เสียหน้า และมันเป็นจุดแตกหักของเขากับ Disney ด้วย หลังจากนั้นไม่นานในกันยายนปี 2004 Michael ได้ตัดสินใจส่งจดหมายไปหาบอร์ดเพื่อขออำลาจากตำแหน่งในฐานะ CEO ของบริษัท Disney เมื่อหมดสัญญาในปี 2006 สองสัปดาห์ถัดมาบอร์ดผู้บริหารของ Disney ตกลง หลังจากตอนมีนาคมปี 2005 บอร์ดผู้บริหารของ Disney ได้แต่งตั้ง Robert Iger ขึ้นเป็น CEO คนใหม่ของ Disney คนถัดไป ตัวของ Robert เองไม่รอช้าโทรไปเล่าให้ครอบครัวและเพื่อนพี่น้องของเขาฟัง ก่อนที่ตัดสินใจโทรไปหา Steve Jobs เพื่อเล่าให้เขาฟังถึงว่าเขาเป็น CEO คนใหม่แล้ว เขาเล่าว่าตอนนั้นเองมันก็เป็นอะไรที่แปลกมากที่จะโทรไปหา Steve แต่เขารู้สึกถึงความสำคัญที่เข้าหาเขา และเผื่อที่ว่าจะยังสามารถสานความสัมพันธ์กับ Pixar ได้ใหม่ ซึ่ง Robert ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้จัก Steve อะไรมาก แต่ก็โทรไปเล่าให้เขาฟังว่าเขาเป็น CEO แล้วและเผื่ออนาคตจะได้ร่วมงานกันใหม่ Steve ก็เลยถาม Robert ว่าเขาทำงานกับ Michael มากี่ปีแล้ว Robert บอกว่า 10 ปี ทาง Steve เลยบอกว่าเขาไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างกันตรงไหนเลย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรื่องเสร็จสิ้นก็ลองติดต่อมาแล้วกันพอ Robert Iger ได้ขึ้นมาเป็น CEO แล้วหนึ่งในสามสิ่งแรกที่ทำที่เขาบอกกับบอร์ดผู้บริหารคือ ต้องเชื่อมความสำคัญใหม่อีกครั้งหนึ่งกับ Pixar เพราะว่าการสิ้นสุดหุ้นส่วนระหว่างสองบริษัทนี้ ทำให้รายได้และการตลาดของ Disney แย่ลง และการที่ตอนนั้น Steve Jobs เป็นหนึ่งในบุคคลที่น่านับถือที่สุดของโลกทำในเรื่องของเทคโนโลยี ธุรกิจ และ วัฒนธรรม ทำให้การที่เขาปฏิเสธ Disney กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเลยทีเดียว ถ้าเราสามารถรีบฟื้นฟูความสัมพันธ์กับ Pixar และ Steve Jobs จะเป็นการหวนกลับมาคืนสู่บัลลังค์ของ Disney หลังจากเขาได้โทรไปหา Steve Jobs ตอนที่เขาได้แต่งตั้งเป็น CEO 2 เดือนถัดมา เขาไม่รอช้ารีบโทรไปหา Steve Jobs อีกครั้งนึงเขาเล่าให้ Steve ฟังว่าเขาเป็นแฟนเพลงตัวยง และมีเพลงอยู่ใน iPod เขาตลอดเวลา แต่เขาคิดถึงอนาคตของทีวีว่ามันอาจจะไปอยู่ใน iTunes และ iPod ได้ไหม ซึ่งแบบตอนใหม่ของซีรีย์เรื่อง Lost สามารถดูได้ทาง iPod แบบนี้ Steve เงียบไปสักพักนึงก่อนบอกว่า เขามีบางอย่างอยากจะโชว์ให้ดู อีกไม่กี่สัปดาห์ถัดมา Steve Jobs ได้บินมายังที่สำนักงานของ Disney ที่เบอร์แบงค์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เขามาหา Robert ก่อนบอกว่า คุณห้ามบอกใครกับเรื่องนี้นะ แต่สิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับซีรีย์ นั่นคือสิ่งที่เราใฝ่ฝันไว้เหมือนกัน หลังจากนั้นไม่นาน Steve ก็เอา iPod ขึ้นมาซึ่งหน้าตาเหมือนที่ Robert ใช้เป้ะเลย และบอกว่านี่เป็น iPod วีดีโอตัวใหม่ หลังจากนั้น Steve ถามว่าถ้าเราเอาสินค้านี้วางจำหน่ายสู่ท้องตลาด คุณจะเอารายการทีวีของ Disney ใส่เข้าไปไหม Robert ตอบได้อย่างทันควันและในเดือนตุลาคมในปีนั้นหลังจากที่ Robert ได้แต่งตั้งเป็น CEO ของ Disney เพียง 2 สัปดาห์และ 5 เดือนหลังจากที่คุยกับ Steve, iPod Video ก็ถูกเปิดตัวโดยที่ Steve Jobs ได้พา Robert Iger ขึ้นมาบนเวทีด้วยและประกาศว่ารายการทีวี 5 รายการของ Disney จะไปอยู่บน iPod Video รวมไปถึง 3 ซีรีย์ดังไม่ว่าจะเป็น Lost, Desperate Housewives, และ Grey’s Anatomy หลังจากนั้นไม่นานในการประชุมบอร์ดผู้บริหาร Robert ได้เสนอให้กับบอร์ดฟังอีกทีนึงเกี่ยวกับเรื่อง Pixar อีกว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นหนังแอนิเมชั่นที่ Disney พยายามสร้างเองได้สำเร็จเพียงแค่เล็กน้อย หรือ ล้มเหลวหมดเลยไม่ว่าจะเป็น The Hunchback of Notre Dame, Hercules, Mulan, Tarzan, Fantasia 2000, Dinosaur, The Emperor’s New Groove, Atlantis, Lilo & Stitch, Treasure Planet, Brother Bear และ Home on the Range เขาเล่าให้ฟังต่อว่าเราได้ลงทุนกับหนังเหล่านี้มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญ และทำการตลาดอย่างหนักหน่วง แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับไม่เป็นที่น่าพอใจเลย แต่ในขณะเดียวกัน Pixar เองได้ประสบความสำเร็จทั้งการสร้างสรรค์ภาพ และ การตลาดทั้ง Toy Story, Monsters Inc. และ Finding Nemo และบริษัทเราพึ่งพาหนังแอนิเมชั่นเป็นส่วนใหญ่ ถ้าแอนิเมชั่นของเราเจ๊ง บริษัทเราก็เจ๊งตามเขาเลยอธิบายสามทางเลือกที่เป็นไปได้ หนึ่งคือ พยายามกับ Disney Animation มากกว่านี้แต่ตัวเขาเองยังคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ สองคือหาคนที่มีความสามารถมาฟื้นฟูใหม่แต่ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา เขายังไม่เจอเลย กับทางเลือกที่สาม คือซื้อ Pixar ซะ พอเขาพูดคำนั้นจบบอร์ดทั้งห้องแทบจะระเบิดออกมา เขาเลยพูดขึ้นมาว่า เขาไม่รู้หรอกนะว่า Pixar กำลังประกาศขายอยู่หรือเปล่า แต่ถ้าประกาศขาย บริษัทมันแพงมากแน่ๆ ซึ่งมูลค่าบริษัท Pixar ตอนนั้นสูงถึงประมาณ 6 พันล้านเหรียญ และ Steve Jobs เป็นเจ้าของประมาณครึ่งนึงซึ่งตัวเขาเองก็คงไม่อยากขายมันหรอก เขาเลยพูดต่อว่าการซื้อ Pixar เนี่ยสามารถนำคนอย่าง John Lasseter และ Ed Catmull สองผู้ยิ่งใหญ่แห่ง Pixar และแม้กระทั่ง Steve Jobs เอง พวกเขาสามารถทำงานของ Pixar ต่อและในขณะเดียวกันก็สามารถฟื้นฟู Disney Animation ได้เช่นเดียวกัน หนึ่งในบอร์ดก็ถามเขาขึ้นมาว่า ทำไมไม่จ้างพวกเขาแทนหละ Robert ตอบกลับไปว่า John Lasseter เองมีสัญญาอยู่กับ Pixar อยู่แล้วและอีกอย่างคือพวกเขาผูกพันกับ Steve มาก กับสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น และความภักดีที่พวกเขามีกับ Pixar มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะจ้างพวกเขา คืนนั้นเขากลับไปที่บ้านและเล่าให้ภรรยาเขาฟัง ภรรยาเขาถึงกับอึ้งและบอกกับเขาว่า Steve ไม่มีวันที่จะขายให้คุณหรอก หลังจากนั้นเธอพูดติดตลกกับเขาว่า CEO ของบริษัท Fortune 500 มีอัตราการอยู่ในงานต่ำกว่า 4 ปี ก่อนที่จะเข้านอนแล้วบอกกับ Robert ว่า Be Bold (จงกล้าเข้าไว้)หลังจากวันนั้นทางบอร์ดไม่ได้ให้ไฟเขียวเขา แต่ก็ไม่ได้ให้ไฟแดงเขา เขาเลยติดต่อทีมงานของเขาให้เตรียมเอกสารการเงินไว้ และรวบรวมความกล้าในการโทรหา Steve Jobs ทั้งเช้าก่อนที่จะโทรจริงๆตอนบ่ายโมง โชคดีที่เขาไม่ได้รับสาย เขาโทรกลับมาหา Robert อีกทีนึงประมาณ 6.30 ตอนที่ Robert กำลังกลับบ้านอยู่ เขาบอกกับ Steve Jobs ว่า “ฉันมีความคิดบ้าๆอีกอย่างนึงแล้ว ฉันขอเข้าไปเจอนายอีกวันสองวันได้ไหม” Steve ตอบกลับว่า “บอกเดี๋ยวนี้” Robert เลยต้องหยุดรถแล้วรวบรวมความกล้าก่อนบอกกับ Steve ว่า “ฉันคิดถึงอนาคตของพวกเราทั้งคู่อะ นายคิดว่าไอเดียในการที่ Disney เข้าซื้อ Pixar เป็นอย่างไร” Robert รอให้ Steve ตัดสายหรือ หัวเราะลั่นขึ้นมา แต่เขาตอบกลับมาว่า “นายรู้หรือเปล่า, นั่นไม่ได้เป็นความคิดบ้าๆเลย” Robert เงียบไปซักพักนึงก่อนที่รู้สึกว่าอาดรีนาลีนกำลังวิ่งเข้าไปในเส้นเลือดก่อนบอกว่า “โอเค, เยี่ยม, เราสามารถที่จะคุยเรื่องนี้เพิ่มเติมได้อีกทีเมื่อไหร่”อีกไม่กี่สัปดาห์ถัดมา Robert บินไปหา Steve ที่สำนักงานใหญ่ของ Apple ที่เมืองคูเปอร์ชิโน่ รัฐแคลิฟอร์เนีย Steve พาเขาไปยังห้องไวท์บอร์ดที่ยาวประมาณ 25 ฟุตก่อนที่จะเริ่มพูดถึงข้อดีและข้อเสียในการที่ Disney ซื้อ Apple โดยให้ Robert พูดข้อดีก่อน Robert ลังเลเลยตัดสินใจให้ Steve เริ่มก่อน Steve บอกข้อแรกว่าวัฒนธรรมของ Disney จะทำลาย Pixar หลังจากนั้นตามมาด้วย การซ่อมแซม Disney Animation จะใช้เวลานานไปและจะทำให้ John และ Ed หมดไฟในการทำงาน ต่อด้วย การที่จะฟื้นฟู Disney จะต้องใช้เวลาหลายปี บอร์ดผู้บริหารของ Disney ไม่ให้นายซื้อแน่นอน Wall Street จะไม่ชอบแน่นอน Pixar จะไม่ยอมรับ Disney เป็นเจ้าของเหมือนที่ ร่างกายไม่รับอวัยวะที่ถูกบริจาคมา ก่อนที่จะเขียนตัวพิมพ์ใหญ่บนกระดานว่า “DISTRACTION WILL KILL PIXAR’S CREATIVITY” หรือ ความวุ่นวายจะฆ่าความคิดสร้างสรรค์ของ Pixar หลังจากที่ถูกกระหน่ำใส่อยู่ข้างเดียวนั้น Robert เลยเริ่มพูดข้อดีบ้างโดยเริ่มจาก Disney จะถูกช่วยชีวิตโดย Pixar และทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข สองคือ การพลิกหน้ามือเป็นหลังมือของหนังแอนิเมชั่นของ Disney จะเปลี่ยนโชคชะตาให้กับเรา และทั้ง John และ Ed จะมีพื้นที่มากขึ้นในการเติบโต หลังจากนั้นเมื่อผ่านไป 2 ชั่วโมงปรากฏว่าข้อดีที่น้อยกว่าข้อเสียกลับมีพลังมากกว่าข้อเสีย Steve เลยหยุดแล้วถาม Robert แล้วพวกเราควรทำอย่างไรกันต่อดี Robert เลยบอกว่าก่อนอื่นนะ ฉันต้องไปเยี่ยม Pixar ก่อน เพราะถ้าเขาจะซื้อ Pixar เขาต้องรู้จักคนสำคัญของที่นั่นก่อน โปรเจคที่พวกเขาทำ วัฒนธรรมขององค์กร พวกเขารู้สึกอย่างไรเมื่ออยู่ที่นุ้น และสิ่งที่พวกเขาทำที่มันแตกต่างจากที่เราทำSteve ตกลงทันทีที่จะให้ Robert เข้ามาเยี่ยมชม ก่อนหน้าที่ Robert จะเยี่ยมชมเขาได้พูดกับทาง Ed กับ John ว่าพวกเขาได้คุยกันนัแต่ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สัปดาห์ถัดมา Robert ไปเยี่ยมชมออฟฟิศของ Pixar ที่เอเมอรี่วิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเข้าไปครั้งแรกบอกว่าสวยงามมาก ด้วยสถาปัตยกรรมที่ Steve Jobs ช่วยออกแบบ และมันเหมือนกับชมรมนักศึกษามากกว่าบริษัททำหนัง ทุกคนดูมีความสดชื่นและเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ทุกคนดูมีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น เมื่อ Robert มองย้อนกลับไปเขาบอกว่าถ้าเขาต้องเลือก 10 วันที่ดีที่สุดที่เขามารับตำแหน่ง CEO วันที่ไปเยี่ยมชม Pixar ครั้งแรกจะอยู่อันดับต้นๆเลย John และ Ed มาคอยต้อนรับ Robert ก่อนที่พาเขามาเจอกับคอนเซ็ปอาร์ต สตอรี่บอร์ด การแต่งเพลง และการเลือกนักพากษ์เสียง Robert เองได้รู้จักกับผู้กำกับหลายๆคนไม่ว่าจะเป็น Brad Bird (แบรด เบิร์ด) ที่ต่อมากำกับเรื่อง Ratatouille, Andrew Stanton (แอนดรูล สแตรตั้น) ที่ต่อมากำกับเรื่อง Wall-E, Peter Docter (ปีเตอร์ ด็อกเตอร์) ที่ต่อมากำกับเรื่อง Up และ Inside Out Brenda Chapman (เบรนด้า แชปแมน) ที่กำกับเรื่อง Brave และ Lee Unkrich (ลี อันคริค) ที่ต่อมากำกับเรื่อง Toy Story 3 และ Coco ที่ต่อมาเรื่องอย่าง Ratatouille, Wall-E, Up, Toy Story 3, Brave, Inside Out และ Coco จะได้รางวัลออสการ์จากหนังแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมหลังจากที่เขากลับไป เขาได้เตรียมทีมขึ้นมาทันทีเพื่อยื่นข้อเสนอในการซื้อบริษัท Pixar เขาได้รับเสียงต่อต้านเป็นอย่างมากถึงเรื่องว่าเขาเสี่ยงเกินไป เขาไม่สามารถได้ข้อตกลงกับ Steve ได้หรอก เขาในฐานะ CEO ใหม่ไม่ควรรีบซื้อบริษัทอะไรที่ใหญ่โตขนาดนี้ และแม้กระทั่งแบงค์เกอร์ของเขาในการทำเรื่องยังบอกเลยว่าเขาบ้ามาก เขารู้สึกว่าสัญชาตญานของเขาในการซื้อ Pixar มันแรงกล้ามาก เขาเลยตัดสินใจโทรไปหา Steve เขาบอกว่าเขาจะยอมเจรจาต่อเมื่อ Ed และ John เห็นด้วยกับเขาในครั้งนี้ หลังจากนั้นไม่นานทาง Robert ก็บินไปที่แถว เบย์ เอเรีย เพื่อไปกินข้าวเย็นกับ John และภรรยาของเขา Robert ก็เล่าชีวิตของเขาก่อนที่เขาได้ขึ้นมาเป็น CEO ส่วน John ก็เล่าชีวิตของเขาตอนที่เขาทำงานเป็นนักแอนิเมชั่นใน Disney ก่อนที่ Michael จะเป็น CEO เขาได้เข้าใจถึงการซื้อบริษัทว่าเขาเข้าใจดีว่าพอซื้อเสร็จแล้ว ทางบริษัทที่ถูกซื้อจะโดนกลืนวัฒนธรรมของบริษัทไปด้วย และทาง Robert เองก็เลยบอกกับทาง John ว่าเขาอยากให้ทั้ง John และ Ed มาดูแล Disney Animation ด้วย ด้วยความที่ John สักวันอยากที่จะกลับไปที่ Disney อยู่แล้วเลยบอกกับทาง Robert ว่า นั่นเป็นความฝันของเขาเลยแหละ ไม่นานหลังจากนั้น Robert ก็มีโอกาสได้พบกับ Ed ใกล้ๆกับที่ทำงานของ Disney ตัวของ Ed เองเป็นตรงกันข้ามกับ John เขาเงียบครึ้ม คิดเผื่อแผ่คนอื่น และสนใจแต่เรื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Disney เองล้าหลังกว่า Pixar ด้านนี้ Ed เลยบอกว่า มันคงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นที่พวกเราจะทำกันในอนาคตJohn และ Ed ตอบตกลงให้ไฟเขียวกับทาง Steve Jobs คุยกับทาง Robert Iger ในการเจรจาซื้อขาย Pixar ได้เลย ทาง Robert เองในวันนั้นมีประชุมกับบอร์ดผู้บริหารของ Disney ที่นิวยอร์คพอดี ซึ่งทางบอร์ดก็ให้ไฟเขียวกับทาง Robert ให้เจรจากับทาง Steve ได้ แต่บอร์ดเองก็มองว่าแล้วคนในตลาดหุ้นจะรู้สึกอย่างไรถ้า Disney ซื้อ Pixar บอร์ดเองก็รู้สึกว่าการเจรจากับทาง Steve Jobs เองคงเป็นไปได้ยาก วันถัดมา Robert และ Tom Staggs (ทอม สแตกค์) COO ของ Disney บินไปที่ San Joseเพื่อที่จะคุยกับ Steve ถึงเรื่องการซื้อขาย Pixar ก่อนนั้นพอ Robert ไปถึง Robert พูดกับทาง Steve เองเลยว่า ผมต้องพูดจริงๆกับคุณว่า นี่เป็นสิ่งที่พวกเราควรทำกันทั้ง 2 ฝ่าย ทาง Steve เองก็เห็นด้วย และเมื่อการคุยกันดำเนินไปด้วยดี แล้วทาง Steve เองจากเดิมที่เขาเรียกตัวเลขสูงมาก แต่รอบนี้เขามองว่าตัวเลขใดๆที่พวกเราตั้งขึ้นมา มันจะเป็นผลดีสำหรับพวกเขาด้วยเหมือนกัน ในช่วงเดือนถัดมา Tom ได้ทำงานร่วมกับ Steve อย่างละเอียดก่อนที่จะได้ตัวเลขที่ 7,400 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นหุ้นทั้งหมดเลยของ Disney คือ 2.3 หุ้นต่อหุ้น Pixar 1 หุ้น และจบลงที่ 6.4 พันล้านเหรียญ ส่วนอีก 1 พันล้านเหรียญเป็นเงินสดที่ Pixar ถืออยู่แล้ว คือถึงแม้ว่าตัว Steve เองไม่ได้เลขสูงไปกว่านี้ แต่ตัวเลขนี้ก็ยังสูงมากๆ และมันจะเป็นเรื่องยากเพื่อที่จะเสนอตัวเลขนี้กับบอร์ดผู้บริหารทาง Steve Jobs, Robert Iger, และ Tom Staggs ยังตกลงสัญญาที่เรียกว่า Social Compact คือสัญญาที่ตกลงทางวัฒนธรรมและตัวองค์กรของ Pixar อย่างเช่น โลโก้หน้าที่ทำงานของ Pixar ยังใช้ชื่อว่า Pixar อยู่ ตัวอีเมลยังลงท้ายด้วย pixar.com อยู่ และตัวแอนิเมชั่นโคมไฟที่อยู่ในต้นเรื่องของหนังทุกเรื่องของ Pixar ยังคงมีอยู่แต่ต้องมาหลังแอนิเมชั่นปราสาทของ Disney หลังจากที่ทำสัญญาและข้อตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ขั้นตอนเสนอให้กับบอร์ดผู้บริหาร เขาเลยจองห้องที่ห้องประชุมของ Goldman Sachs (โกลด์แมน แซ็คส์) ที่ Los Angeles ในเช้าวันเสาร์ ตอนช่วงเดือนมกราคมปี 2006 มีผู้บริหารบางท่านยังไม่เห็นด้วยกับการซื้อขาย Pixar อยู่ แต่พอ John Lasseter Ed Catmull และ Steve Jobs พูด พวกเขาก็ถูกดึงดูดไปกับการเซ็นสัญญาในครั้งนี้ John พูดถึงเรื่องความรักที่เขามีต่อ Disney และการจะทำให้ Disney Animation คืนสู่บัลลังค์แชมป์อีกครั้ง Ed พูดถึงเรื่องราวของเทคโนโลยีในอนาคตที่จะเปลี่ยนวงการภาพยนต์แอนิเมชั่นต่อไป และ คงไม่มีใครขายไอเดียเก่งกว่า Steve อีกแล้ว เขาพูดถึงว่าการที่เราเป็นบริษัทที่ใหญ่ พวกเราควรที่จะใช้โอกาสเสี่ยงเยอะๆบอร์ดตัดสินใจลงคะแนนเสียงการซื้อขายกันในวันที่ 24 มกราคมปี 2006 หลังจากนั้นเองการประชุมครั้งนั้นก็ถูกรั่วไหล Michael Eisner อดีต CEO ของ Disney โทรไปหา Robert เลยบอกว่าอย่าทำแบบนี้ นี่เป็นความคิดที่โง่ที่สุดในโลกเลย Michael บอกอีกว่า Robert นายสามารถซ่อม Disney Animation ได้ นายไม่ต้องพึ่งพวกเขาหรอก Michael ถึงขนาดที่ว่าโทรไปหา Warren Buffett หนึ่งในบอร์ดผู้บริหารของ Disney เพื่อทำให้ Robert เปลี่ยนใจ แต่ Buffett ไม่อยากยุ่งด้วย ตอนวันที่ 24 เมื่อบอร์ดผู้บริหารมาประชุมกันเพื่อที่ลงมติว่าซื้อ Pixar หรือไหม Michael มาที่ห้องประชุมด้วยแล้วพูดว่า ราคามันสูงเกินไป และตัวของ Steve Jobs เป็นคนที่ทำงานด้วยยาก และต้องการการควบคุมและดูแล เขามองไปที่หน้าของ Robert และบอกว่า นายสามารถฟื้นฟูหนังแอนิเมชั่นของเราได้นะ Robert ตอบกลับว่า Michael, ตอนที่นายเป็น CEO นายยังทำไม่ได้เลย และตอนนี้มาบอกว่าผมทำได้งั้นหรอ Robert หลังจากนั้นขึ้นไปพูดด้วยพลังอันเปี่ยมล้นว่า อนาคตของบริษัทอยู่ตรงนี้ และ เวลานี้ มันอยู่ในมือของพวกคุณ และเขาก็ย้ำสิ่งที่เขาพูดในตอนประชุมบอร์ดครั้งแรกในฐานะ CEO ตอนเดือนตุลาคมว่า ถ้าหนังแอนิเมชั่นเราเจ๊ง ตัวบริษัทเราก็เจ๊งตาม พวกเราต้องทำสิ่งนี้ เส้นทางสู่อนาคตของเราเริ่มในคืนนี้ พอเขาพูดจบการโหวตก็ได้เริ่มต้นขึ้น บอร์ด 4 คนแรกโหวตให้ซื้อ คนที่ 5 โหวตให้ซื้อเพียงเพราะว่า Robert เท่านั้นส่วนอีก 5 คนที่เหลือมีแค่ 2 คนที่ปฏิเสธ สุดท้าย Disney เลยตัดสินใจซื้อ Pixar ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 2ในวันที่ประกาศ Robert กับ Tom รวมทั้งผู้บริหารอีก 2 คนคือ Alan Braverman (อลัน เบรฟเวอร์แมน) และ Zenia Mucha (เซเนีย มูช่า) เดินทางไปที่ออฟฟิศของ Pixar เพื่อที่จะประกาศแผนการซื้อกิจการ Pixar พวกเขาวางแผนกันที่จะประกาศตอนบ่ายโมงหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์หยุดทำการ และประกาศในหอประชุมใหญ่ของบริษัท ก่อนที่จะประกาศ 1 ชั่วโมงก่อนหน้า Steve Jobs ได้เรียกทาง Robert Iger เข้าไปคุยก่อนบอกว่า ไปเดินคุยกัน Robert ประหลาดใจแล้วปรึกษากับ Tom ว่า Steve ต้องการอะไรกันแน่ Tom กับ Robert คิดว่าไม่เข้าอาจจะถอนตัวจากการขาย Pixar หรือ เขาอยากได้อะไรมากกว่านี้ พอเขากับ Steve เดินออกมาจากบริษัทมายังสวนย่อมของบริษัท เวลาในตอนนั้นคือ เที่ยงสิบห้านาทีแล้ว เขาเดินมายังม้านั่งแล้วนั่งคุยกัน Steve เอาแขนมาโอบที่หลัง Robert ก่อนบอกกับเขาว่า “ผมจะบอกบางอย่างกับคุณที่มีเพียงภรรยาผม Laurene (ลอรีน) และ หมอของผมเท่านั้นที่รู้” เขาขอให้ผมเก็บไว้เป็นความลับก่อนบอกผมว่า เซลล์มะเร็งของเขาได้กลับมาแล้ว เขาเคยมีมะเร็งที่ตับอ่อนมาก่อน ก่อนที่จะรักษาจนหาย แต่ตอนนี้มันกลับมาแล้วRobert ถามกลับไปว่า Steve คุณมาบอกผมทำไม และ ทำไมถึงคุณมาบอกผมตอนนี้ Steve ตอบว่า เพราะว่าผมกำลังจะไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดและบอร์ดผู้บริหารของ Disney ผมเลยคิดว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะรับรู้และถอนตัวจากการเจรจาครั้งนี้ Robert มองดูนาฬิกาของเขา เวลาในตอนนั้นคือเที่ยงครึ่งแล้ว เขาคิดในใจว่า แล้วเขาจะบอกบอร์ดผู้บริหารยังไง แล้วถ้าเกิด Steve ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเชื้อมะเร็งของเขา มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำอะไรนอกจากตกลงในข้อเสนอเขาแล้วออกจากสัญญาครั้งนี้ หลังจากนั้นเขาเลยพูดกับ Steve ว่า Steve ในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงพวกเรากำลังจะประกาศการเซ็นสัญญามูลค่าเกิน 7 พันล้านเหรียญ ผมจะบอกบอร์ดผู้บริหารยังไง อยู่ดีๆผมเกิดไม่มั่นใจขึ้นมากระทันหันงั้นหรอ Steve บอกว่าให้โทษเขาเลย เขาเลยถามกลับว่า มันมีอะไรที่เขาต้องรู้เพิ่มไหม ช่วยเขาตัดสินใจหน่อย Steve เลยเล่าให้เขาฟังว่าตอนนี้เซลล์มะเร็งของเขาไปอยู่ที่ตับแทน แล้วก็พูดถึงโอกาสในการรักษาหาย เขาก็บอกกับทาง Robert ว่าเขามีเวลาอยู่บนโลกนี้ประมาณ 4 ปีเท่านั้น เมื่อเขารู้สองเรื่องนี้ เขาตัดสินใจไม่ยอมให้ Steve ยกเลิกสัญญานี้ ทั้งคู่เดินกลับไปที่บริษัท ก่อนที่จะประกาศกับนักข่าว สื่อมวลชน และ พนักงานของ Pixar ในการซื้อขายครั้งนี้ มีคนอยู่ดีๆขึ้นไปมอบของขวัญให้กับ Robert เป็นโคมไฟของ Pixar เขาเลยบอกต่อว่าเดี๋ยวเขาจะนำโคมไฟนี้ไปมอบแสงสว่างในปราสาทของ Disneyคืนนั้นเอง Robert เล่าให้สองคนฟังทั้ง Alan Braverman และ ภรรยาของเขา พวกเขาเห็นด้วยกับ Robert ในการตัดสินใจซื้อขายในครั้งนี้ ภรรยาของ Robert เอง Willow (วิลโล่) ตกใจกับข่าวมะเร็งของ Steve Jobs มากเพราะ Willow รู้จักกับ Steve Jobs ก่อนหน้าสามีเธออีก ทั้งคู่คืนนั้นพากันร้องไห้จากการได้ยินข่าวนี้ หลังจากการซื้อขายในครั้งนี้จบลงทาง Robert และ Steve ก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เขากลายมาเป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในบอร์ดผู้บริหาร Robert จะคอยปรึกษาเขาก่อนที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมเสมอ เมื่อมองย้อนกลับไป Robert บอกว่าหนึ่งในสิ่งที่เขาประทับใจและประหลาดใจที่สุดในช่วงที่เขาเป็น CEO ความสัมพันธ์ที่เขามีกับทาง Steve Jobs ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับการซื้อ Marvel ของ Disney เพราะเขาไม่เชื่อว่ามันจะเหมือนกับ Pixar ได้แต่เขาก็ไม่ต่อต้าน Robert ให้ซื้อ Steve เองได้ช่วยโน้มน้าวคนให้เห็นด้วยกับทาง Robert ในการซื้อ Marvel จนบางครั้ง Robert บอกกับ Steve Jobs เองว่า “ผมต้องถามคุณในฐานะที่คุณเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด” Steve ตอบกลับว่า “คุณห้ามคิดกับผมอย่างนี้นะ นั่นสบประมาทผมมาก ผมแค่เป็นเพื่อนที่ดีของคุณ”หลังจากนั้นไม่นาน Steve ก็ล้มป่วยลง ก่อนเสียชีวิตไปในวันที่ 5 ตุลาคม 2011 หลังจากนั้นเป็นต้นมาหนังของ Pixar ที่ได้ร่วมกันทำกับ Disney ตั้งแต่การซื้อขายกันครั้งนั้นมีหนังที่ปล่อยโดย Disney & Pixar ทั้งหมด 16 เรื่องตั้งแต่เรื่อง Cars ในปี 2006 จนมาถึงเรื่องที่ชื่อว่า Onward ที่เข้าโรงหนังที่ไทยเมื่อตอนต้นปีนี้และหนัง Pixar ทั้งหมดหลังจากที่ Disney ซื้อมาทำรายได้ทั่วโลกมากถึง 10,300 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังไม่นับรวมของเล่นเด็ก ค่าเข้าสวนสนุก ที่ใช้ตัวละครของ Pixar เป็นจุดขาย โดยหนังที่ทำเงินมากที่สุดในโรงหนังคือ The Incredibles 2 ที่ทำเงินไปได้ถึง 1,200 ล้านเหรียญและไม่มีหนังเรื่องไหนเลยที่ทำรายได้ต่ำกว่า 500 ล้านเหรียญ และหนังของ Pixar กวาดรางวัลในออสการ์สาขาหนังแอนิเมชั่นยอดเยี่ยม 8 เรื่องในรอบ 13 ปีให้หลังจากการที่ Disney เข้าไปซื้อกิจการ และอีก 3 เรื่องก็เป็นหนังของ Disney มีเพียงแค่ 2 เรื่องที่ไม่ใช่ของ Disney และ Pixar ที่ชนะรางวัลออสการ์ในสาขานี้ ความสำเร็จในการซื้อ Pixar ของ Robert Iger นั้นทำให้เกิดแรงโมเมนตั้มมหาศาลทำให้ Robert เข้าไปซื้อกิจการอื่นๆอีกมากมายทั้ง Marvel, Lucasfilm, และ Fox จนสุดท้ายกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมหนังและภาพยนต์ในทุกวันนี้ขอบคุณภาพจาก MThai, Bill Gates, Gizmondo, Biography.com, allaboutstevejobs.com, Pixarfandom, Wallpaper Cave, abc, Fortune, trendsmap, Hollywood Reporter, Variety, Wikipedia, Getty Images, Shutterstock, Pixar, NY Daily News,