ทำงานหนักกันมาทั้งปีแล้ว อาจถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสำรวจตัวเองกันบ้างว่า “ยังไหวอยู่หรือเปล่า?...” หากเราถามคนส่วนใหญ่ว่า “ทำงานหนักคือเรื่องดีไหม?” คำตอบคงเป็น ใช่!... เราล้วนเติบโตมาด้วยความเชื่อที่ว่า ความสำเร็จมาจากจากการทุ่มเท กันทั้งนั้น แต่แล้ว ทำไม?... คนที่ทุ่มเทอย่างเรา ถึงมาติดอยู่ในภาวะ Burnout ได้ กันนะ? สังคมบอกเราว่าต้องพยายามให้ถึงที่สุด แต่ไม่เคยมีใครบอกว่า ‘ที่สุด’ นั้น อยู่ตรงไหน? วันนี้ เราจะมาลองทำความเข้าใจ จุดสิ้นสุดของ ‘ที่สุด’ กัน มาลองสำรวจไปด้วยกันว่า ความเหนื่อยล้าจนรู้สึกว่าแบตหมดเกลี้ยง เป็นอย่างไร เพราะนั่นคือ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับ คนทำงานหนัก อย่างพวกเราโดยเฉพาะ “Burnout” ไม่ใช่แค่ความเหนื่อย ถ้าอย่างนั้นมันคืออะไร? เรามักเหมารวมอาการ ‘หมดไฟ’ เข้ากับความเครียดธรรมดา แต่ความจริงแล้วมันซับซ้อนยิ่งกว่านั้น อาการนี้ไม่ใช่โรคที่มียารักษา และไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าที่แก้ได้ด้วยการพักผ่อน แต่เป็น สภาวะที่ จิตใจปฏิเสธ ที่จะทำงานต่อไป เป็นความเครียดเรื้อรังที่เกิดจากการไม่ได้รับการจัดการ หรือแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจองค์ประกอบต่อไปนี้ จะช่วยให้เราหาคำตอบได้ว่า “เรากำลังหมดไฟอยู่จริงหรือไม่?” สัญญาณที่เราต้องบอกตัวเองว่า “หยุด” เพื่อทบทวน อาการที่ว่านี้มักมาพร้อมกับสัญญาณหลัก ๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 3 ด้าน (หากขาดหายไปเพียงด้านเดียว นั่นแปลว่าเราอาจแค่กำลังเครียด) ลองสำรวจตัวเองจาก 3 สัญญาณนี้ สัญญาณที่ 1: รู้สึกอ่อนล้าทางใจจนฟื้นฟูไม่ได้ ความรู้สึกว่าพลังงานทางจิตใจถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น ไม่ว่าจะพักผ่อนมากแค่ไหน หรือ ขาดแรงจูงใจที่จะลงมือทำสิ่งต่าง ๆ แม้กระทั่งในสิ่งที่เคยชอบ ยิ่งพยายามก็ยิ่งรู้สึกว่า หมดแรงอยู่ตลอดเวลา และไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้น ลองถามตัวเองดูว่า... “ฉันรู้สึกแบตหมดเกลี้ยง จนไม่มีวิธีใดที่จะชาร์จไฟกลับมาได้อีก ใช่หรือไม่?” หรือ “ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึก อ่อนล้า ทันที แม้จะนอนเต็มอิ่มแล้วก็ตาม หรือเปล่า?” สัญญาณที่ 2: มีความรู้สึกด้านลบกับงาน คือการที่เราเริ่มมองงาน เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า ด้วยทัศนคติที่ห่างเหิน เย็นชา หรือรู้สึกว่าน่ารำคาญเมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์ เราจะค่อย ๆ สูญเสียความพึงพอใจ ที่เคยมีไป และต่อต้านสิ่งนั้นอย่างจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่อยากเกี่ยวข้อง ลองถามตัวเองดูว่า... “ฉันรู้สึกหงุดหงิด เมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ในที่ทำงาน หรือไม่?” หรือ “ฉันเริ่ม ‘ไม่สนใจ’ ว่างานจะออกมาเป็นอย่างไร และมองว่ามันเป็นภาระที่น่าเบื่อ ใช่หรือเปล่า?” สัญญาณที่ 3: รู้สึกไม่พอใจในความสามารถตนเอง เป็นความรู้สึกที่ว่า ความสามารถในการทำงานของตัวเองลดลงอย่างมาก ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ดูเหมือนจะ ไม่ดีพอ สักอย่าง เราจะเริ่มสงสัยในคุณค่าของตัวเราเอง ข้องใจในความสามารถ ผิดหวังในตัวเอง และรู้สึกลังเลที่จะลงมือทำงานต่อไปให้สำเร็จ ลองถามตัวเองดูว่า... “ฉันรู้สึกว่า ‘ฉันไม่เก่งพอ’ ที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จได้อีกแล้ว ใช่ไหม?” หรือ “ฉันรู้สึกว่า ความพยายามและความทุ่มเทของฉัน มันช่างไร้ความหมาย ใช่หรือเปล่า?” หากคุณตอบว่า “ใช่” กับคำถามของ ทั้ง 3 สัญญาณ นั่น แปลว่า คุณกำลังเผชิญกับภาวะ Burnout เข้าให้แล้ว แต่ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ที่ ‘ความรู้สึก’ เพียงอย่างเดียว ยังอยู่ที่ ‘ความไม่สมดุล’ ใน 6 จุด นี้ด้วย ปริมาณงาน (Workload): งานที่มากเกินไปจนหาเวลาหายใจไม่เจอ ทำเท่าไรก็ไม่ลดลง หรือไม่มีเวลาพักผ่อน อำนาจการตัดสินใจ (Control): รู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ระบบงานไม่เอื้ออำนวย หรือขาดเครื่องมือที่จำเป็น ความคาดหวัง (Reward): ขาดการยอมรับ ขาดโอกาสก้าวหน้า สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสม หรือรู้สึกว่าค่าตอบแทนไม่ยุติธรรม ความสัมพันธ์ (Community): ขาดปฏิสัมพันธ์และการสนับสนุนที่ดีระหว่างกันกับเพื่อนร่วมงาน รู้สึกโดดเดี่ยว หรือเข้ากับสังคมไม่ได้ ความเท่าเทียม (Fairness): ขาดโอกาสที่เท่าเทียม รู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม หรือได้รับภาระที่ไม่สมเหตุสมผล คุณค่าที่ยึดถือ (Values): ต้องทำงานที่ขัดแย้งกับค่านิยมหลักของตัวเองซ้ำ ๆ เช่น ต้องโกหก หรือทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ การทำความเข้าใจ 6 จุดที่ไม่สมดุลนี้ คือการเริ่มต้นหาคำตอบว่า “เราหมดไฟจากอะไร?” ที่แท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะ “กำหนดความพอดี” ได้อย่างชัดเจน ลองใช้เวลาสั้น ๆ ในการ สำรวจกายและใจ ของตัวเองดูว่า... “ตอนนี้เรามีพลังกายเหลืออยู่กี่เปอร์เซ็นต์?” ให้เหมือนสังเกตแบตเตอรี่มือถือที่เราใช้งาน “สัญญาณอันตรายทางใจมาหรือยัง?” เพื่อยับยั้งอาการที่เตือนว่า “พอได้แล้ว” ได้ทัน ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพื่อตัดสินว่าตัวเราล้มเหลวหรือไม่ แต่เพื่อเป็นการให้เหตุผลว่า อาการที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้น มีที่มาที่ไป และเมื่อเรารู้แล้วว่า ปัญหาอยู่ตรงไหน? เราก็จะสามารถกำหนดนิยาม “ความพอดี” ที่เหมาะสมกับ ชีวิตและค่านิยม ของเราได้ ก่อนที่ภาวะ ‘หมดไฟ’ จะลามไปทั่วทั้งชีวิตของเรา หากวันนี้คุณยังเหนื่อยล้าเกินกว่าจะหาคำตอบได้ ไม่เป็นไรเลย... เพียงแค่เราได้เริ่มรู้สึก สงสัยในขีดจำกัดของตัวเอง และยอมรับว่า ได้ถามคำถามที่สำคัญที่สุดกับตัวเองแล้ว นั่นก็ถือเป็นการดูแลทั้งกายและใจของเราเอง เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว หันมา ใส่ใจตัวเอง ให้เหมือนตั้งใจทำงานบ้าง เพื่อที่ #กายใจ ของเราจะได้ทำงานอย่างราบรื่น ไปได้อีกนาน ๆ แหล่งที่มาของภาพ: ภาพปก: Photo by กายใจ (จัดทำโดย Ai) / Canva ภาพประกอบที่ 1: Photo by David Watkis on Unsplash ภาพประกอบที่ 2: Photo by Julia Rekamie on Unsplash ภาพประกอบที่ 3: Photo by Ron Lach : https://www.pexels.com ภาพประกอบที่ 4: Photo by Chidy Young on Unsplash ภาพประกอบที่ 5: Photo by George Dagerotip on Unsplash ภาพประกอบที่ 6: Photo by Vladislav Klapin on Unsplash เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !