สื่อบันเทิงหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นนิยาย ภาพยนตร์ ละคร อนิเมะหรือแม้แต่วีดีโอเกม ล้วนมีจุดแข็งที่เป็นเหมือนหัวใจหลักของมันนั่นก็คือเนื้อเรื่องและบท เพราะมันคือส่วนตัดสินเลยว่าสื่อเรื่องนั้นจะออกมาเป็นที่ชื่นชมและน่าจดจำหรือไม่ https://img.freepik.com/free-vector/creative-planning-schedule-template_23-2147949495.jpg?w=740&t=st=1687544048~exp=1687544648~hmac=6b82edc8a42b94b542802d9c1286b336c8355c24b1ab17e06b5584c7fe0ea07aแน่นอนว่าการเขียนเรื่องมันไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องใช้ทั้งความคิดสร้างสรรค์ การ Brainstorming หรือการระดมสมองเพื่อทำให้เนื้อเรื่องออกมาน่าสนใจและอยากให้คนติดตามไปจนจบให้ได้มากที่สุด ซึ่งไม่มีอะไรที่เพอร์เฟคอยู่แล้ว แต่ในบทความนี้อยากจะมาแชร์จุดสำคัญสำหรับคนที่สนใจจะเป็นนักเขียนนิยายหรือบทภาพยนตร์ว่ามีข้อที่ควรรู้และควรระวังตรงไหนบ้างเพื่อทำให้เนื้อเรื่องที่ออกมานั้นเป็นที่น่าจดจำให้มากที่สุด โดยจะแบ่งเป็น 4 หมวดหมู่หลักๆBasic Plot & First impression การวางพล็อตและสร้างความประทับใจแรกhttps://img.freepik.com/free-photo/variety-notebooks-top-view_23-2148288537.jpg?w=996&t=st=1687500491~exp=1687501091~hmac=565fcf31fbca120562b922d338a7a28ef54cda186513e7c3c3e13aebdf43e62eข้อควรรู้ที่ 1 เข้าใจตัวเองก่อนว่าอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไร ใช้แรงบันดาลใจเป็นตัวกระตุ้น- ปัจจัยแรกสุดเลยที่แม้จะเป็นเรื่องที่ Common ที่สุดแต่ก็ไม่ควรลืมข้อนี้ว่าก่อนอื่นเลยเราต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการจะเขียนเรื่องอะไร แนวอะไร เกี่ยวกับอะไร แม้ฟังดูธรรมดา แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันไม่ได้คิดออกกันง่ายๆ ลองนึกไปสมัยที่เราเรียนมัธยมหรือมหาลัยดูว่า เวลาที่อาจารย์ให้เรานำเสนออะไรสักเรื่องตามอิสระ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคืออะไร แน่นอนว่าก็คือเราไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอะไรดีใช่มั้ยล่ะ การเขียนนิยายและเนื้อเรื่องก็เช่นกัน การสร้างเรื่องออกมาเริ่มจากศูนย์มันต้องใช้พลังสมองเป็นอย่างมาก ค่อยๆคิดค่อยๆสังเคราะห์มันออกมา และสิ่งที่สำคัญเลยคือการหาแรงบันดาลใจเพื่อมาเป็นต้นแบบหรือเอามาใช้เป็นไอเดียบางส่วน เพราะทุกวันนี้ทุกสิ่งทุกเรื่องมักก็หยิบยืมแรงบันดาลใจจากสิ่งต่างๆมาเป็นตัวจุดประกายไอเดียของนักเขียนแต่ละท่านกันหมด ข้อควรระวังที่ 1 แบ่งน้ำหนักของทั้งเรื่องให้เหมาะสม ไม่เน้นให้ฉากเปิดมันพีคเกินไป- การสร้าง First Impression นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมากสำหรับสื่อต่างๆ เพราะมันคือตัวแปรเลยว่าผู้ชมและผู้อ่านนั้นจะอยากติดตามต่อไปหรือไม่ ดังนั้นไม่แปลกที่นักเขียนหลายท่านจะดูเน้นฉากเปิดและพาร์ทแรกของเนื้อเรื่องให้ดูมีปม มีอะไรเกิดตั้งแต่ต้น ยกตัวอย่างเลยคือการนำฉากตอนท้ายๆหรือตอนจบมาใส่ไว้ในตอนเปิดเรื่องแล้วค่อยตัดฉากไปเปิดเนื้อเรื่องหลักปกติก็เพื่อที่จะดึงดูดให้คนอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันน่ะแต่ทั้งนี้นั้นมันก็มีเส้นบางๆกันอยู่เช่นกัน เพราะหากใส่ความสำคัญให้พาร์ทใดพาร์ทหนึ่งมากเกินเช่นตอนเปิดเรื่องเพื่อสร้างความประทับใจแรกนั้น ก็หมายถึงความแผ่วปลายที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นก็เป็นได้นะ คำแนะนำคืออย่าใส่หัวใจหลักหรือสิ่งที่เป็นกุญแจหลักของเรื่องไว้ตอนต้น ไม่ทำให้ตอนเปิดมารู้สึกว่ามันว้าวเป็นพิเศษเพราะอย่างที่รู้ๆกันว่ามไม่มีอะไรที่สามารถรักษาความว้าวได้ตลอดเรื่อง มันต้องมีบางพาร์ทที่มันจะเรียบง่ายและเบาๆไว้เพื่อผ่อนคลายอารมณ์คนดูเช่นหากคุณอยากจะเขียนบทหนังที่เกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดในโลกหลังหายนะ การใส่อินโทรเล่าความเป็นมาว่าทำไมถึงล่มสลายและแสดงถึงผลที่ตามมาอันเลวร้ายของการล่มสลาย แต่ให้หยุดแค่ตรงนั้นพอ ไม่ควรเล่าอะไรไปมากกว่าเรื่องพิ้นฐานแค่ให้คนดูรู้ก็พอว่ามันเป็นเรื่องแนวอะไร ความเสียหายหนักแค่ไหน ส่วนที่เหลือค่อยๆเล่าไปตามสเต็ปแม้แต่การเปิดตัวละครเอก ก็ควรจะเล่าไปตาม flow ของเรื่องแล้วแต่เห็นว่าเหมาะสมPresentation การนำเสนอ/สิ่งที่ต้องการสื่อhttps://scontent.fbkk5-6.fna.fbcdn.net/v/t39.30808-6/339098695_244524637994746_7617930075727624439_n.png?_nc_cat=102&cb=99be929b-59f725be&ccb=1-7&_nc_sid=9267fe&_nc_ohc=fs0dnIRmXoYAX8YSq_x&_nc_ht=scontent.fbkk5-6.fna&oh=00_AfDCmUnmQHg9DJx2v5dfzwt3FKB5i2SyfyUQvYWX_hp0rg&oe=649AD5DBข้อควรรู้ที่ 2 มีการสอดแทรกสิ่งต่างๆที่มาจากโลกความเป็นจริง รวมทั้งสะท้อนความจริง แต่ไม่ต้องถึงกับสมจริงมาก- ไม่ว่าใครๆก็ชอบเนื้อเรื่องที่มีความสมเหตุสมผลใช่มั้ย เช่นกันหากสื่อมี element ที่มีอยู่ในโลกของเรามันจะทำให้คนอินกับเรื่องได้ง่ายและมากขึ้น เพราะมันเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าใกล้ตัวและเอื้อมถึงได้มากกว่า ลองจินตนาการดูหากภาพยนตร์เรื่องไหนที่แทบไม่มีอะไรที่ดึงมาจากโลกของความเป็นจริงเลย ทุกสิ่งอย่างในเรื่องเป็นสิ่งที่เกิดจากจินตนการและสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น อย่างแรกที่หลายๆคนจะรู้สึกเลยคือ งง และสิ่งที่ตามมาคือไม่อิน สุดท้ายก็หมดไฟที่จะตามต่อ มันเป็นธรรมชาติของคนเราที่จะดึงดูดเข้าหาอะไรที่รู้สึกว่าใกล้ตัว เพราะการเข้าถึงที่ง่ายและรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่คว้าเข้ามาได้ดีกว่า ไม่ต้องไปไหนไกล ตัวอย่างเช่นเรารู้สึกว่าอยากเป็นเพื่อนหรือสามารถคบหาคนธรรมดาๆหรือเพื่อนร่วมงานในตำแหน่งเดียวกันได้มากกว่าคนที่อยู่สูงกว่าไปจนถึงบุคคลมีชื่อทั้งหลายใช่มั้ย เรื่องรสนิยมการเสพสื่อก็เช่นกัน แม้จะมีคำบอกว่าคนเราดูหนัง เล่นเกมเพื่อออกห่างจากโลกความเป็นจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนก็ยังชอบเห็นอะไรที่มันอยู่ในโลกจริงเข้าไปอยู่ในสื่อเหล่านั้นอยู่ดี คนเราชอบที่จะเอาอะไรเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิต นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมหนังแนวเอาชีวิตรอด แนวใช้ชีวิตประจำวัน หรือแอคชั่นที่ใช้ฝีมือคนถึงเป็นที่นิยมจะเรียกมากกว่าหนังแนวแฟนตาซีแบบแทบจะจินตนาการทั้งดุ้นอย่างที่บอกไปว่าคนเรามักจะชอบนำบางสิ่งบางอย่างมาเป็นตัวอย่าง ข้อคิดที่ได้จากสื่อก็มีผลไม่แพ้กัน จริงอยู่ที่สื่อแฟนตาซีหลายๆเรื่องจะสอดแทรกข้อคิดและคุณธรรมให้กับคนดูที่สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกอยู่ดีว่า คนจะชอบมากกว่าหากได้เรียนรู้อะไรที่เป็นประโยชน์ที่พวกเขานำทำได้ในชีวิตได้จริง ซึ่งจุดนี้แหล่ะที่สื่อแนวเสมือนจริงจะตอบความต้องการมากๆ ข้อควรระวังที่ 2 ไม่ควรใส่อะไรที่มัน Personal เกินไป- ก่อนอื่นคำว่าใส่อะไร Personal ไม่ได้เจาะจงกับสิ่งที่มาจากคนเขียนบทเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงสิ่งที่มันเป็นรสนิยมหรือความคิดส่วนตัวของบุคคลบางประเภทด้วย เพราะมันจะทำให้ผู้ชม ผู้อ่านทั้งไม่เข้าใจและไม่อินได้ง่าย ประกอบกับที่ว่าสังคมเรามีการแบ่งแยกรสนิยมของผู้คนที่มีหลากหลายมากๆ การที่เราต้องมานั่งดูอะไรที่เปรียบเสมือนความพึงพอใจของใครสักคนมันก็ไม่ใช่เรื่อง ยกตัวอย่างเลยว่าทำไมอนิเมะแนวฮาเร็มถึงไม่ค่อยมีคนชอบกันนัก เพราะเนื้อหาหลักๆ หัวใจของมันคือการที่ดูตัวละคร (ส่วนใหญ่เป็นตัวเอกผู้ชาย) ตัวนึงสมหวังในความรักใคร่ สมหวังในรสนิยมโรแมนติกที่รอบล้อมไปด้วยตัวละครเพศตรงข้ามหลายคน ซึ่งธรรมดาของคนเราส่วนใหญ่ที่จะตั้งคำถามว่า เราดูอะไรอยู่ เราได้อะไรกันเนี่ย ใช่มั้ยล่ะการเขียนเรื่องเพื่อสื่ออะไรออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ ได้เข้าใจในสิ่งที่เราอยากเล่าออกมาต้องทำให้คนอ่าน คนดูได้รับอะไรจากมันไปด้วย ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นสาระแน่นแฟ้น คติสอนชีวิตหนักๆ ไม่ใช่แบบนั้น บางทีการเขียนอะไรที่มันโง่ๆแต่เรียกเสียงหัวเราะได้กันถ้วนหน้านั่นก็คือมันประสบความสำเร็จแล้ว ใส่ element อะไรที่คนอื่นก็สามารถชอบและรู้สึกได้เหมือนกับคนเขียนCharacter ตัวละครhttps://pbs.twimg.com/media/Fux2iGIaIAAba2g?format=jpg&name=largeข้อควรรู้ที่ 3 การสร้างตัวละครที่ดีและบทบาทที่ดี สามารถแบกเนื้อเรื่องที่สุดแสนธรรมดาให้ปังได้- องค์ประกอบอันดับหนึ่งของสตอรี่ แน่นอนว่ามันก็คือตัวละคร และการสร้าง Cast ที่มีความสัมพันธ์ต่อกันในด้านใดด้านหนึ่งอย่างชัดเจน การมีปฏิสัมพันธ์และการพัฒนาตัวละครตลอดทั้งเรื่องคือสิ่งที่ต้องมี เรื่องการกระจายบทตัวละครก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะถ้าหากเนื้อเรื่องเน้นหนักไปที่ตัวเอกจนมากเกินไป มันจะทำให้เสียเนื้อเรื่องไปมาก เพราะอย่างที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครมันคือสิ่งที่แบกเรื่องราวให้กระชับ การที่เนื้อหาโฟกัสเด่นคนเดียวมันแทบจะคล้ายกับสารคดีของตัวละครยังไงยังงั้นซึ่งก็ใช่อยู่ว่าตัวละครเอกสำคัญที่สุดเพราะเป็นศูนย์กลางการดำเนินเรื่องแทบจะทั้งหมดและเป็นตัวละครที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครอื่นมากที่สุด คนเขียนเรื่องควรใส่ใจกับตัวละครหลักให้ดี เพราะมันแทบจะเป็นตัวกำหนดด้วยเลยว่าคนดู คนอ่านอยากจะสนใจในเนื้อเรื่องต่อมั้ย หากตัวเอกสร้างออกมาได้ "ไม่ดี" และไม่เป็นที่น่าชื่นชอบของผู้ชมไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่งตัวอย่างเช่น Personality ที่ไม่น่าสนใจไปจนถึงน่ารำคาญ บทบาทที่ไม่สมกับเป็นตัวนำ ขาดการพัฒนาตัวละคร หากเป็นแนวชีวิตประจำวันหรือโรแมนติกก็มาแบบจู่ๆมีคนหลง ถ้าเป็นแนวแอ็คชั่นก็ Plot armor ที่หนายิ่งกว่าโลกทั้งใบชนิดที่ว่าโลกแตกแต่ดันรอดมาได้ เป็นแบบนี้คนส่วนใหญ่เค้าก็แทบจะหมดไฟที่จะตามต่อแล้วในทางกลับกันหากตัวละครเขียนมามีมิติ สมบทบาท แม้ตัวเนื้อเรื่องจะดูไม่มีจุดอะไรพิเศษแค่ไหน คนดูก็สนใจที่จะติดตามต่อเพราะเขาติดใจในตัวละครและพวกเขามีความสุขที่จะได้เห็นตัวละครบนจอ (หรือในเล่ม) ทำอะไรต่างๆและเจอกับเรื่องราวอะไรต่างๆก็พอแล้ว ข้อควรระวังที่ 3 รักษาพัฒนาการของตัวละครและประสบการณ์ของพวกเขาตลอดเรื่องให้ดี- ข้อนี้เป็นจุดที่คนเขียนเรื่องหลายคนมองข้าม โดยเฉพาะกับภาพยนตร์ เกมหรือซีรี่ส์ที่มีหลายๆตอนหลายพาร์ท ที่ส่วนใหญ่จะเจอในแนวผจญภัยหรือล่าปริศนา นั่นก็คือตัวละครความจำสั้นหรือลืมประสบการณ์ที่ตัวเองเคยเจอมาในเนื้อเรื่อง ราวกับคนที่ฝึกแล้วเทในภายหลังยกตัวอย่างเช่นพวกเขามักจะมึนงงหรือคอยถามว่าเกิดอะไรขึ้นตลอดแม้ว่าจะเป็นเรื่องแนวเดิมๆที่เคยเจอมาแล้วในพาร์ทก่อนๆ ราวกับว่าเจ็บแล้วไม่จำ ซึ่งมันทั้งตลกทั้งดูแปลกๆในเวลาเดียวกันสำหรับมุมมองคนดูอย่างเรา รวมทั้งประโยคพูดยอดฮิดที่เห็นแทบจะทุกเรื่องคือ "มีบางสิ่งบางอย่าง" "นั่นอะไรน่ะ" ถ้าเป็นบทภาษาอังกฤษเรามักจะเห็นคำนี้ตลอดแน่ๆใช่มั้ยคนเขียนคิดอะไรไม่ออกก็ Something ไว้ก่อนทั้งนี้ก็เพื่อบิ้วบรรยากาศของเนื้อเรื่องให้ดูมีอะไรแปลกๆน่าคิดตลอดแต่ว่าโดยถ้ามันแค่ครั้งสองครั้งในตอนแรกๆไปถึงกลางๆมันก็เข้าใจได้เพราะตัวละครยังไม่ชิน แต่บางเรื่องคือตัวละคร งง ทุกตอนตั้งแต่ต้นยันจบซึ่งนานๆเข้ามันจะเข้าข่ายน่ารำคาญสำหรับผู้ชมมากกว่า คุณก็คงอยากจะด่าในใจว่า พวกนายจะงงอะไรกันอีก เจอมาทุกตอนยังจะถามอีกเหรอว่าไอนั่นมันคืออะไร ขัดใจใช่มั้ยล่ะดังนั้นที่อยากจะฝากเลยคือบาลานส์ให้ดีระหว่างทำเนื้อเรื่องให้เข้มข้น ดูมีปม แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำตัวละครให้เรียนรู้จากประสบการณ์ในตอนที่ผ่านๆมาด้วย อย่าทำให้พวกเขาแก้ปัญหาที่แล้วจบ ลืม พอเจออันใหม่ก็ถามใหม่ งงใหม่เพราะมันจะดึงคุณภาพเนื้อเรื่องให้ดร็อปลงในระยะยาวทีเดียวConnection & Continuity การเชื่อมต่อและการสานต่อhttps://scontent.fbkk5-6.fna.fbcdn.net/v/t1.6435-9/68944582_2286445014770424_7609131264670433280_n.jpg?_nc_cat=102&cb=99be929b-59f725be&ccb=1-7&_nc_sid=e3f864&_nc_ohc=-Iq9sbZWJaEAX_K3pL_&_nc_ht=scontent.fbkk5-6.fna&oh=00_AfBabjKenBJI5DMYD-_Zy6WZ3R3YM8Xxgk8Esz-CCmGP5w&oe=64BD67EEข้อควรรู้ที่ 4 พยายามทำให้มี Connection หรือเชื่อมโยงกับเนื้อหากับส่วนอื่นๆจะดีที่สุด- ข้อนี้จะมีผลมากๆสำหรับซีรี่ส์และเฟรนไชส์ที่มีเนื้อหายาวๆและภาคต่อเยอะๆ มันเป็น Fanservice ประเภทหนึ่งและเป็นความสุขของแฟนๆที่จะได้เห็นการปรากฏตัวหรือการกลับมาของสิ่งที่พวกเขาเคยรักเคยผูกพันจากของเก่าๆที่อาจไม่ใช่เพียงแค่ตัวละคร แต่นั่นรวมไปถึง element เก่าๆ ฉาก สถานที่ในความทรงจำไปจนถึงร่องรอยจากเหตุการณ์ที่ชวนคิดถึงสมมุติว่าคุณติดพันกับเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องหนึ่งมากทั้งตัวละครเอกทั้งสถานที่นั้น ละพอมีภาคต่อที่เขาอาจจะเปลี่ยนตัวละครรวมทั้งสถานที่ใหม่หมด ลองนึกดูว่าถ้าตัวละครเก่าที่คุณรักนั้นโผล่มาแบบเซอไพรส์หรือมีการปูมาให้โผล่มาในจอแม้จะไม่ใช่ในบทตัวเอกก็ตาม แค่นั้นคุณก็ฟินแล้วจริงมั้ยล่ะ หรือแม้จะเป็นการ reference เข้าหาเหตุการณ์ในภาคก่อนหน้าที่คุณจำมันได้เป็นอย่างดีและมีการสานต่อผลพวงมาจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมันก็ว้าวไปอีกแบบ นั่นแหล่ะคือความดีงามของการทำจุดเชื่อมโยงภายในซีรีส์และเฟรนไชส์ การสร้างภาคต่อที่มันมีเนื้อหาใหม่ทั้งหมดโดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรเลยก็ไม่ได้บอกว่ามันแย่ แค่มันจะยากที่จะทำให้ฐานแฟนดั้งเดิมอินกับมัน ยกเว้นแต่ของเดิมมันเจ๊งจนต้อง move on เพื่อลองอะไรใหม่นั้นก็อีกเรื่อง ข้อควรระวังที่ 4 อย่าสานต่อเรื่องราวอะไรเพิ่มเติมที่ไม่จำเป็น- ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจุดจบของมัน จะจบเร็วหรือช้าก็แล้วแต่เป็นิสิ่งที่เรากำหนดอะไรไม่ได้ ในสื่อบันเทิงก็เช่นกัน ต่างกันแค่เราเลือกได้ว่าจะให้มันจบตอนไหน ซึ่งบางทีเนื้อเรื่องที่เราเขียนไว้ถึจุดนึงมันจบสวยงามและดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ก็เข้าใจบางเคสว่ามันกระแสตอบรับดี มันขายดี มันก็ทำให้หลายๆคนอยากได้ภาคต่อ อยากเห็นเรื่องราวต่อเพราะแฟนๆเรียกร้อง แต่การทำเรื่องราวสานต่อก็มีดาบสองคมเช่นกันนะดังคำกล่าวของตัวร้ายจากเกม Far Cry 5 อย่าง Joseph Seed ที่เคยบอกไว้ "It's better to leave the well enough alone" อย่าไปยุ่งกับอะไรที่มันอยู่ดีของมันอยู่แล้ว ตอนจบของหนังหรือเกมบางเรื่องบางภาคก็เช่นกัน บางทีมันเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะปล่อยพวกเขาเหล่านั้น(หมายถึงตัวละคร)ให้ได้ไปใช้ชีวิตหลังจากนั้นกันอย่างสงบๆหรือไปสู่สุขคติเถอะ การฝืนเขียนเรื่องราวต่อโดยไม่จำเป็นอาจเป็นการทำลายภาพลักษณ์หรือความทรงจำดีๆที่แฟนคลับเคยมีไว้ในตอนจบเดิมได้ ถ้ายกตัวอย่างก็ Terminator : Dark Fate หรือคนเหล็กภาคปี 2019 ที่ถือว่าเป็นภาค 3 อย่างเป็นทางการ หากใครที่เคยดูหรือเคยอ่านมาแล้วก็คงรู้ๆกันอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นและหลายคนก็ยังมองเลยว่าเป็นภาคต่อที่ไม่จำเป็นจะต้องมี อีกตัวอย่างหนึ่งที่แตกออกเป็นสองเสียงเลยก็คือ Star Wars 3 ภาคล่าสุดอย่าง 7-9 นั้นฝั่งนึงก็รับไม่ได้ที่เอาเรื่องราวที่จบสมบูรณ์แบบในภาคที่ 6 อยู่แล้วมาทำเละเทะไปหมด หมดกันกับความทรงจำอันสวยงามในตอนนั้นสรุปเนื่องจากผู้เขียนเป็นคนที่ติดตามสื่อบันเทิงหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะทางโซเชียลมีเดีย ภาพยนตร์ อนิเมะและวีดีโอเกม ผู้เขียนได้สังเกตและพอที่จะจับแนวทางของการทำบทเนื้อเรื่องได้ว่ามันออกมารูปแบบไหนดูเวิร์ค ดูเฟลๆ ซึ่งไม่ได้ตัดสินจากความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนบทความเพียงคนเดียว แต่มาจากคอยเฝ้าสังเกตกระแสของสื่อนั้นๆและการพูดคุยกับคนทั้งจากกลุ่มเพื่อนและคอมมูนิตี้จึงพอสามารถจับจุดแล้วอยากเขียนแชร์ออกมาเป็นบทความนี้ อย่างน้อยก็อยากให้พอช่วยคนที่กำลังเป็นนักเขียนมือใหม่ได้พอรู้จุดละเอียดอ่อนตามที่เขียนไปในบทความนี้ได้อ่านเพื่ออยากให้พวกเขาเหล่านั้นสร้างเรื่องราวที่มีความ Unique และระมัดระวังมากขึ้นเพราะใครๆต่างก็ชอบเสพสื่อที่มีสไตล์เฉพาะตัวและแปลกใหม่ที่ไม่มีการ reuse ไอเดียเหล่านั้นซ้ำๆผู้เขียนเองก็เคยเขียน fanfic จากเกมที่เล่นเพราะเห็นช่องทางและรอยต่อที่เหมาะสมที่รู้สึกว่ามันอยากลองเขียนอะไรกับเกมที่รักเป็นเนื้อเรื่อง fan-made ดู กับนิยายสั้นๆที่เขียนขึ้นมาเองจากศูนย์มีทั้งแบบเอาไว้แชร์กับเพื่อนฝูงกับเขียนเป็นร่างๆไว้เป็นทักษะในอนาคตด้วย ก็ขอบอกว่าการเขียนนิยายหรือบทเนื้อเรื่องมันก็เป็นสิ่งที่ enjoy คล้ายกับคนที่ชอบวาดรูปไม่ต่างกันขอขอบคุณภาพประกอบจาก Freepik.com- ภาพปกจาก katemangostar- ภาพที่ 1 จาก freepik- ภาพที่ 2 จาก freepik ภาพที่ 3 - ภาพจากเฟสบุ๊กออฟฟิเชี่ยลของเกม Far Cry 5ภาพที่ 4 - ภาพ จากทวิตเตอร์ออฟฟิเชี่ยลภาพที่ 5 - ภาพ เฟสบุ๊กของ MarvelThailand