“กัมพูชา” ศูนย์สแกมโลก อุตสาหกรรมมืดโตแรง ใต้ร่มเงาอำนาจรัฐ

อาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชา ปัญหาระดับโลกที่อยู่มายาวนาน ปราบปรามแค่ไหนก็ไม่เคยหมดไป แต่กลับรุนแรงหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะมันได้กลายเป็นระบบเศรษฐกิจข้ามชาติที่มีรัฐคอยปกป้องอยู่เบื้องหลัง
“กัมพูชา” ที่นานาชาติแปะป้ายว่า เป็นศูนย์กลางสแกมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังสะท้อนความจริงอันโหดร้ายของโลกยุคใหม่ที่ “การหลอกลวง” กลายเป็นอุตสาหกรรมหลักระดับประเทศ
“กัมพูชา” ศูนย์กลางสแกมเมอร์โลก-รายได้หลักประเทศ
รายงานจาก Humanity Research Consultancy ว่าด้วยอาชญากรรมข้ามชาติที่สนับสนุนโดยรัฐ ระบุว่า กัมพูชากลายเป็นหนึ่งในแหล่งอุตสาหกรรมสแกมเมอร์ที่ใหญ่สุดระดับโลก โดยมองว่า ปี 2025 กัมพูชาถือเป็นแหล่งรวมการฉ้อโกงระหว่างประเทศยุคใหม่ที่สำคัญของโลก และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
รายงานชี้ว่า อุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชาใกล้ถึงจุด “ใหญ่เกินกว่าจะล้มได้” และกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งการสแกม ขับเคลื่อนโดยแก๊งอาชญากรรมชาวจีน จนเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับโลก
อุตสาหกรรมสแกมเมอร์สร้างรายได้ให้กัมพูชาราว 400,000-620,000 ล้านบาทต่อปี หรือ คิดเป็น 60% ของ GDP นั่นหมายความว่า การหลอกลวงกลับสร้างรายได้ให้กับกัมพูชามากกว่าอุตสาหกรรมหลักของประเทศ อย่าง เครื่องนุ่งห่ม และสิ่งทอ
รายงานฉบับนี้ สอดคล้องกับรายงานของ UN เมื่อเดือนมีนาคม 2025 เผยว่า กัมพูชาเป็นศูนย์กลางของการค้ามนุษย์ และการหลอกลวงออนไลน์ทั่วเอเชีย
รายงาน ยังระบุด้วยว่า มีผู้คนนับพัน จากหลายประเทศถูกหลอกมาค้ามนุษย์ และถูกบังคับให้ทำงานฉ้อโกงผู้อื่น เพื่อสร้างรายได้ผิดกฎหมายนับแสนล้านบาทให้กับแก๊งสแกมเมอร์
เหยื่อส่วนใหญ่มักจะถูกหลอกล่อด้วยโฆษณางานต่างประเทศ รายได้ดี เพื่อจูงใจคนเหล่านี้ เข้ามาติดกับกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ
หลายชาติเตือนพลเรือน ระวังเดินทางไปกัมพูชา
ปัญหาสแกมเมอร์ยิ่งระบาดหนักขึ้นในช่วงโควิด-19 แม้ว่าโลกจะผ่านพ้นการระบาดมาแล้ว แต่การหลอกลวงไม่ได้หายไป และยิ่งหนักข้อขึ้น เมื่อเหยื่อมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก จนหลายประเทศต้องประกาศเตือนพลเมืองตนเอง ให้ระวังการเดินทางมากัมพูชา
กรณีล่าสุดที่สั่นคลอนสัมพันธ์เกาหลีใต้-กัมพูชา เมื่อพบว่า นักศึกษาชาวเกาหลีใต้วัย 22 ปี ถูกทรมาน บังคับเสพยา และเสียชีวิต หลังถูกหลอกไปทำงานที่กัมพูชา กอปรกับก่อนหน้านี้ ชาวเกาหลีใต้ถูกลักพาตัวไปกัมพูชามากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ต้องยกระดับมาตรการทางการทูต เพื่อตอบโต้ พร้อมเตือนประชาชนเลี่ยงการเดินทางไปกัมพูชา
ขณะเดียวกัน ก็เตรียมส่งตำรวจ และหน่วยข่าวกรองเข้ากัมพูชา เพื่อร่วมสอบสวน และช่วยเหลือชาวเกาหลีใต้ที่ถูกลักพาตัว
ขณะที่ สหรัฐฯ ก็จับมือกับสหราชอาณาจักร ร่วมมือกันโจมตีเครือข่ายแก๊งอาชญากรข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากกลุ่มสแกมเมอร์เหล่านี้ หลอกลวงเงินพลเมืองของตนรวมกันอย่างหน่อย 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
สหรัฐฯ ดำเนินการคว่ำบาตร 146 บริษัท ที่มีความเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์ หนึ่งในนั้นคือ Huione Group ซึ่งถูกแบนออกจากระบบการเงินของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ เนื่องจากถูกมองว่า เป็นแหล่งที่เอื้อให้เกิดการฟอกเงินของแก๊งอาชญากรออนไลน์จากประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะเกาหลีเหนือ และมีความเกี่ยวข้องกับ Prince Group แก๊งอาชญากรข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในกัมพูชา
แต่สิ่งที่ทำให้ Huione Group ถูกพูดถึงมากกว่าบริษัทอื่น ๆ เพราะว่า หนึ่งในบอร์ดบริหารคือ “ฮุน โต” ผู้มีศักดิ์เป็นหลานของ “ฮุน เซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และเป็นลูกพี่ลูกน้องของ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน
ด้านสิงคโปร์ก็เริ่มสอบสวนบริษัทแห่งหนึ่ง ที่เปิดรับสมัครบุคลากรเข้าทำงานในประเทศ แต่เบื้องหลังวางแผนจะส่งคนเหล่านี้ไปทำงานรีสอร์ตในเกาะกง ประเทศกัมพูชาแทน หลังเกิดการว่าจ้าง สะท้อนให้เห็นว่า ชาวสิงคโปร์ตกเป็นเป้าของแก๊งสแกมเมอร์ เตือนประชาชนให้ระวังการรับงานที่ผิด
ปกติ
ส่วนไทยเองก็ร่วมมือกับนานาชาติ เพื่อจัดการตัดตอนแก๊งอาชญากรรมตามบริเวณชายแดนเมียนมา และกัมพูชาต่อเนื่อง ทั้งการตัดน้ำ ตัดไฟ ระงับอินเทอร์เน็ต เตือนประชาชนให้ระวังการเดินทางข้ามไปยังบริเวณชายแดน พร้อมสกัดกั้นเข้าช่วยเหลือเหยื่อก่อนถูกส่งตัวเป็นศูนย์สแกมเมอร์ให้ทันท่วงที
ปราบแล้ว แต่ไม่หาย
เมื่อนานาชาติต่างก็รู้ดีว่า “กัมพูชา” เป็นศูนย์สแกมเมอร์ขนาดใหญ่ของโลก และออกมาตรการเพื่อตอบโต้ พูดคุยหารือขอความร่วมมือหลายรอบ
แต่ทำไมศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้ ไม่หายไปสักที คำตอบคือ รัฐบาลกัมพูชาล้มเหลวในการปราบปรามอย่างจริงจัง และเจ้าหน้าที่รัฐก็เข้าไปมีเอี่ยวธุรกิจหลอกลวงด้วย
รายงานของ Amnesty International เมื่อเดือนมิถุนายน ระบุว่า รัฐบาลกัมพูชาล้มเหลวในการสอบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในศูนย์สแกมเมอร์ แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะได้รับแจ้งเรื่องนี้หลายครั้ง และทราบดีว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างในสถานที่เหล่านั้น
การเพิกเฉยของรัฐบาลกัมพูชา ทำให้ธุรกิจสแกมเมอร์เติบโตรวดเร็ว และเฟื่องฟูอย่างมากในประเทศ ผู้รอดชีวิตบางราย เผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมักทำงานร่วมมือกับผู้จัดการศูนย์มากกว่าจะให้ความช่วยเหลือ หรือ ปกป้องเหยื่อ
แม้ว่ารัฐบาลกัมพูชาอ้างว่า กำลังพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อยู่ แต่หลังการบุกค้น และช่วยเหลือเหยื่อในศูนย์สแกมเมอร์ ภายหลังพบว่า จำนวน 2 ใน 3 ของสถานที่เหล่านี้ ยังคงเปิดดำเนินกิจการตามปกติ
หลังถูกโลกลงดาบตีตรา เป็นประเทศสแกมเมอร์ “กัมพูชา” ก็ได้ปราบปรามกวาดล้างศูนย์สแกมเมอร์ครั้งใหญ่ ในเดือนกรกฎาคม ตำรวจบุกค้นสถานที่ 140 แห่ง จับกุมผู้ต้องสงสัยมากกว่า 3,000 คน จากทั้งหมด 19 ประเทศ
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการปราบปรามครั้งนี้ เนื่องจากแก๊งสแกมเมอร์ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก มีรายงานว่า สถานที่ประกอบการสำคัญหลายแห่ง ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าและย้ายไปยังพื้นที่ใกล้ชายแดนเวียดนาม และยังคงดำเนินการตามปกติ
โลกต้องทำอย่างไร ถึงจะจัดการแก๊งคอลฯ ได้
รายงาน Humanity Research Consultancy เผยว่า การแก้ไขปัญหาภายในกัมพูชาเองทำได้ยากในระยะสั้น เพราะรัฐบาลกัมพูชามีส่วนเกี่ยวพันกับเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ ฉะนั้น สิ่งที่ควรทำตอนนี้ คือ ประชาคมโลกต้องจับมือร่วมกันทำ “ยุทธศาสตร์ลดความเสียหาย” เพื่อจำกัดผลกระทบจากระบบอาชญากรรมข้ามชาติที่โยงกับรัฐกัมพูชา
ผู้เชี่ยวชาญบางส่วน กล่าวว่า การปราบปรามเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการหลอกลวงไซเบอร์ได้ เพราะปัญหาที่แท้จริง เป็นเรื่องเชิงระบบ เครือข่ายผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นคอยปกป้องศูนย์เหล่านี้ให้ดำเนินงานกลับมาได้อย่างรวดเร็ว การจับกุมคนงานระดับล่างไม่สามารถหยุดยั้งผู้ประกอบการระดับสูงได้ เมื่อเกิดการทลายศูนย์หนึ่งลง ศูนย์เหล่านี้ ก็จะกระจายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อื่นแทน
หลายประเทศต้องร่วมกันคว่ำบาตร, ออกกฎระเบียบ, บังคับใช้กฎหมาย และเครื่องมือทางการเงิน เพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้ร่วมกัน ก่อนที่จะลุกลามบานปลาย จนเราไม่สามารถหยุดยั้งได้อีกเลย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
https://www.nationthailand.com/blogs/news/asean/40051873
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
