เชื่อได้เลยว่า BMW คือแบรนด์รถยนต์ในฝันของใครหลาย ๆ คน แต่รู้หรือไม่ว่าสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีตอนนี้ กำลังทำให้แบรนด์รถยนต์ ระดับโลกตกที่นั่งลำบาก Credit Picture: Link ..ย้อนกลับไป เมื่อปี 1918 ยุคสงครามที่บริษัทบาวาเรีย ผลิตเครื่องบินให้กับกองทัพเยอรมัน แต่เมื่อสงครามสิ้นสุด ก็ตามมาด้วยสุญญากาศในธุรกิจ จนนำไปสู่การตั้งคำถามว่าจะทำการค้าอะไรต่อไป ที่สุดแล้ว ก็มาเจอคำตอบ ในการเริ่มต้นที่ผลิตรถจักรยานยนต์ และได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นผู้นำด้านยนตรกรรม ตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา.. ..เป็นเวลามากกว่าศตวรรษเข้าไปแล้ว ที่ BMW ยืนหยัดต่อสู้บนเวทีตลาดรถยนต์ระดับโลก แต่ในตอนนี้ พวกเขากำลังเจอเข้ากับความท้าทายอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังเข้ามามีบทบาท ตลอดจนมีการเข้ามาแทนที่ ของตลาดรถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น ซึ่ง BMW เป็นเจ้าแรก ๆ ที่ให้ความสําคัญ และได้ทำการลงทุนลงแรง วิจัยอย่างหนัก เพื่อจะชิงความเป็นเจ้าในตลาด ดังจะเห็นได้จากการเปิดตัวรถมากมาย ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับมีการเปลี่ยน สัญลักษณ์ของแบรนด์ใหม่ ให้มีความทันสมัย และให้เข้ากับความเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น Credit Picture: Link แต่ถึงอย่างไร Tesla ของเจ้าพ่อ Elon Musk ก็วิ่งแทรงไปไกลกว่า อยู่ดี.. ไม่เพียงแค่นั้น ในด้านการตัดสินใจ ของนักลงทุน ที่จะไว้วางเม็ดเงินให้กับ BMW หากเป็นแต่ก่อนก็คงจะเป็นเรื่องที่ง่าย.. เมื่อย้อนกลับไปประมาณ 20 กว่าปีก่อน BMW รุ่งเรืองถึงขนาดที่ว่า เข้าซื้อกิจการ ของแบรนด์รถยนต์หรูทั้งสองแบรนด์ นั่นก็คือ Rolls-Royce และ Mini Cooper ซึ่งนั่นเป็นการสร้างภาพลักษณ์ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ว่าแกร่งจริง และมันจะทำให้นักลงทุน ตัดสินใจได้อย่างง่ายดาย แต่ปัจจุบันกลับแตกต่างจากนั้น.. ดังจะเห็น ได้จาก.. ผลประกอบการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปี 2018 มีรายได้ 9.75 หมื่นล้านยูโร ประมาณ 3.54 ล้านล้านบาท กำไรสุทธิ 7.12 พันล้านยูโร ประมาณ 2.58 แสนล้านบาท (อัปเดต 30 ธ.ค. 2018, หลักฐานอ้างอิง: Link) ปีที่ผ่านมา มีรายได้ 10.42 หมื่นล้านยูโร ประมาณ 3.78 ล้านล้านบาท กำไรสุทธิ 4.91 พันล้านยูโร ประมาณ 1.78 แสนล้านบาท (อัปเดต 30 ธ.ค. 2019, หลักฐานอ้างอิง: Link) จะเห็นได้ว่า ผลกำไรของบริษัท เริ่มมีท่าทีลดลงอย่างชัดเจน ถ้าคิดเป็นสัดส่วนผลกำไรแล้ว จะหายไปมากกว่า 30% นอกจากนั้น ความท้าทายที่ BMW กำลังพบเจอ ซำ้ร้าย.. BMW ยังต้องประสบกับวิกฤติโรคระบาดที่ผ่านเข้ามาอีก ด้วยเหตุนี้ ฐานการผลิตในยุโรปหลายแห่ง ต้องปิดทำการไปชั่วคราว และช่วงก่อนหน้าที่ประเทศจีน มีการระบาดของโควิดอย่างหนัก ส่งผลให้ยอดขายที่เคยเกิดขึ้น มากกว่า 30% เกิดการสั่นคลอน เช่นกัน.. ไม่เพียงแค่นั้น สำหรับช่องผลกำไรที่มีแนวโน้มลดลง นั้นเป็นสาเหตุมาจากการควบคุมค่าใช้จ่ายขององค์กรที่ไม่นิ่ง ซึ่งนี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของความท้าทาย ถ้าหาก BMW ยังมีการดำเนินธุรกิจเช่นนี้อยู่ ในอนาคตอันใกล้ ราคาหุ้นของ BMW มีหวังลดลงอีก เป็นแน่ Credit Picture: Link อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ ราคาหุ้นของ BMW เหลืออยู่เพียงแค่ 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมด เท่านั้นเอง.. แล้วเมื่อผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปพวกเขาจะปรับตัวเข้าสู่ตลาดรถยนต์ รูปแบบใหม่ที่เป็น Electrical Car โดยการรุกตลาดจีนเช่นเดิมหรือป่าว เพราะในตอนนี้ จีนแผ่นดินใหญ่ ได้ผ่านพ้นวิกฤติไปมากแล้ว และคำถามทิ้งท้ายก็คือ.. สัดส่วนรายได้ 30% ที่พวกเขาเคยครอบครอง จะกลับมาคว้าได้เช่นเดิมหรือป่าว และ BMW จะช่วงชิงบัลลังก์ ผู้นำด้านยนตกรรม ดังเช่นประวัติศาสตร์ ที่พวกเขาทำได้ หรือไม่ ? Review Post On Facebook Review Post On Blockdit * ลิขสิทธิ์ถูกต้องของเพจ SWIVEL จากทั้งแอปพลิเคชัน Blockdit และเพจ Facebook