สรุปหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยา และการพัฒนาตนเอง | บทความโดย Pchalisa หลายคนยังไม่รู้ว่า หนังสือ "Your Forces and How to Use Them" ของ Christian D. Larson เป็นหนึ่งในตำราคลาสสิกที่กล่าวถึงพลังของความคิดบวกและการพัฒนาตนเองอย่างลึกซึ้งค่ะ โดยหนังสือเล่มนี้ได้ให้แนวคิดและเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ในการใช้พลังภายในของเราเพื่อสร้างชีวิตที่ดีขึ้นได้ ที่ผู้เขียนมองว่าหากคุณผู้อ่านได้ลองนำประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ย่อมนำผลดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่งให้ปรากฏขึ้นได้แน่ ซึ่งเนื้อหาที่สำคัญๆ ได้สรุปไว้ในบทความนี้แล้วค่ะ ดังนั้นต้องอ่านให้จบนะคะ ดังความรู้ต่อไปนี้ 1. ความคิดคือแม่เหล็ก ความคิดเป็นมากกว่าแค่ความคิด มันคือพลังงานที่ส่งผลต่อจักรวาลรอบตัวเราจริงๆ ค่ะ เปรียบเสมือนการส่งสัญญาณออกไปว่าเราต้องการอะไร และจักรวาลก็จะตอบสนองกลับมาในรูปแบบที่สอดคล้องกับความคิดนั้น เมื่อเรามีความคิดใดๆ ความรู้สึกตามมาก็จะเกิดขึ้น เช่น ความสุข ความกลัว ความกังวล ความรู้สึกเหล่านี้จะส่งผลต่อพลังงานที่เราปล่อยออกไป พลังงานที่มีความถี่เดียวกันจะดึงดูดกัน ดังนั้น เมื่อเราปล่อยพลังงานเชิงบวกออกไป สิ่งดีๆ ที่มีความถี่เดียวกันก็จะถูกดึงดูดเข้ามา โดยที่สมองของเราจะรับรู้ความคิดของเราเป็นความจริง และจะเริ่มหาหลักฐานมาสนับสนุนความคิดนั้น ทำให้เราเห็นแต่สิ่งที่สอดคล้องกับความคิดของเรา 2. จินตนาการเป็นจริง การจินตนาการ ไม่ใช่แค่การเพ้อฝัน แต่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สามารถเปลี่ยนความคิดให้กลายเป็นความจริงได้ การจินตนาการถึงสิ่งที่เราต้องการอย่างชัดเจนและละเอียดนั้นเปรียบเสมือนการวาดภาพอนาคตที่เราต้องการ ซึ่งจะส่งผลต่อจิตใต้สำนึกและดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาในชีวิตจริง เมื่อเราจินตนาการอย่างชัดเจน จิตใต้สำนึกของเราจะรับรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง และจะเริ่มทำงานเพื่อทำให้ความจริงนั้นเกิดขึ้น การจินตนาการบ่อยๆ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราสามารถบรรลุเป้าหมายได้ โดยการจินตนาการถึงสิ่งที่ต้องการจะทำให้เรารู้สึกดี มีความสุข ซึ่งจะดึงดูดพลังงานบวกเข้ามาในชีวิต และการจินตนาการจะช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจในการลงมือทำค่ะ 3. ความรู้สึกเป็นตัวบ่งชี้ ความรู้สึกบวกหรือลบของเราสะท้อนให้เห็นว่าเราเชื่อในสิ่งที่คิดมากแค่ไหน เพระความรู้สึกของเราเป็นเหมือนบารอมิเตอร์ที่วัดระดับความเชื่อในสิ่งที่เราคิดค่ะ ยิ่งเรารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งนั้นมากเท่าไหร่ ก็แสดงว่าเราเชื่อในสิ่งนั้นมากเท่านั้น เมื่อเราคิดถึงอะไรสักอย่าง สมองของเราจะปล่อยสารเคมีที่ทำให้เกิดความรู้สึกตามมา เช่น ถ้าคิดถึงเรื่องดีๆ ก็จะรู้สึกดีใจ แต่ถ้าคิดถึงเรื่องไม่ดี ก็จะรู้สึกเศร้า ซึ่งเมื่อเรารู้สึกถึงสิ่งหนึ่งบ่อยๆ ความรู้สึกนั้นจะกลายเป็นความเชื่อที่ฝังลึกในใจ โดยความรู้สึกบวกและลบเป็นเหมือนพลังงานที่ส่งออกไป ดึงดูดสิ่งที่สอดคล้องกับพลังงานนั้นเข้ามาในชีวิต 4. กฎแห่งการสะท้อน คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า? สิ่งที่เราเห็นในโลกภายนอก คือภาพสะท้อนของความคิดภายใน กฎแห่งการสะท้อน หรือที่เรียกอีกอย่างว่า กฎแห่งกระจก เป็นแนวคิดที่ว่า สิ่งที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นคน สถานการณ์ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ล้วนเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนภาพของความคิด ความเชื่อ และอารมณ์ภายในของเราออกมา จิตใจของเราเปรียบเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดสิ่งที่มีความถี่พลังงานเดียวกันเข้ามา หากเรามีความคิดเชิงบวก สิ่งดีๆ ก็จะเข้ามาหา แต่ถ้าเรามีความคิดเชิงลบ สิ่งไม่ดีก็จะเข้ามา ความคิดของเราไม่ได้แค่สะท้อนความเป็นจริง แต่ยังมีส่วนสร้างความเป็นจริงขึ้นมาด้วย เมื่อเราเชื่อในสิ่งใดอย่างแรงกล้า สิ่งนั้นก็จะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในชีวิต โดยบางครั้งสิ่งที่เราเห็นในผู้อื่นอาจเป็นเงาของสิ่งที่เรากำลังปฏิเสธในตัวเอง เช่น ถ้าเราไม่ชอบคนที่ชอบวิจารณ์คนอื่น อาจเป็นเพราะลึกๆ แล้วเรากำลังวิจารณ์ตัวเองอยู่ 5. ความสำคัญของการให้ การให้ ไม่ใช่แค่การมอบสิ่งของหรือเงิน แต่เป็นการแบ่งปันสิ่งดีๆ ทั้งทางวัตถุและจิตใจให้กับผู้อื่น ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในหลายศาสนาและปรัชญา และยังเป็นแนวคิดหลักในกฎแห่งแรงดึงดูดด้วย เป็นหลักการพื้นฐานที่ว่า เมื่อเราให้ไป สิ่งดีๆ ก็จะกลับมาหาเราเสมอ เปรียบเสมือนการปลูกเมล็ดพืช เมื่อเราปลูกเมล็ด ก็จะได้ผลผลิตกลับมา การให้ทำให้เรารู้สึกดี มีความสุข และสร้างพลังงานบวก ซึ่งจะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต การให้ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดในชีวิต 6. การปล่อยวาง การยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป เปรียบเสมือนการกอดสิ่งของชิ้นนั้นแน่นจนเกินไป จนไม่มีพื้นที่ให้สิ่งอื่นเข้ามาแทนที่ได้ การปล่อยวางจึงเป็นเหมือนการเปิดประตูต้อนรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตของเรา เมื่อเรายึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป เรากลัวที่จะสูญเสียมันไป จึงไม่อยากเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามา การยึดติดทำให้เราคิดว่ามีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่สำคัญ ทำให้เราพลาดโอกาสที่ดีกว่า การปล่อยวางทำให้เรารู้สึกเบาใจและมีความสุขมากขึ้น ซึ่งจะดึงดูดพลังงานบวกเข้ามา และการปล่อยวางเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตและพัฒนาตนเองค่ะ 7. การตั้งเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเปรียบเสมือนการวาดแผนที่ที่จะนำเราไปสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการ เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามีทิศทาง มีแรงบันดาลใจ และสามารถโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เรามีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้มากขึ้น เป้าหมายที่ชัดเจนจะบอกให้เราทราบว่าเราต้องการไปที่ไหน ช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และไม่หลงทาง โดยเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นจะกระตุ้นให้เราอยากจะลงมือทำและพยายามอย่างเต็มที่ เป้าหมายที่ชัดเจนจะดึงดูดพลังงานบวกและโอกาสต่างๆ เข้ามาในชีวิต และเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เราสามารถวัดความคืบหน้าและปรับปรุงแผนการได้ 8. ความเชื่อในตัวเอง ความเชื่อในตัวเอง หรือที่เรียกว่า ความมั่นใจในตนเอง นั้นเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนให้เราเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ การมีศรัทธาในความสามารถของตัวเอง จะช่วยให้เราสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ที่ขวางทาง และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ ความเชื่อในตัวเองเป็นเหมือนแรงผลักดันที่ทำให้เราอยากจะลงมือทำและพยายามอย่างเต็มที่ เมื่อเรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง เราจะกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวและความไม่แน่นอน ความเชื่อในตัวเองจะช่วยให้เราอดทนต่ออุปสรรคและไม่ยอมแพ้ง่ายๆ โดยที่คนที่มีความมั่นใจในตัวเองมักจะดึงดูดโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต และคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมักจะมีบุคลิกที่น่าประทับใจและดึงดูดคนอื่นๆ 9. การสร้างแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจ เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่ช่วยให้เรามีพลังในการดำเนินชีวิตและมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ การมีแรงบันดาลใจจะทำให้เรารู้สึกกระตือรือร้น มีความสุข และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต แรงบันดาลใจจะช่วยให้เรามีแรงผลักดันที่จะทำสิ่งต่างๆ เมื่อรู้สึกท้อแท้ แรงบันดาลใจจะช่วยให้เรากลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ แรงบันดาลใจเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุความสำเร็จในชีวิต ที่ช่วยให้เรามีการทำงานด้วยความกระตือรือร้นจะทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยิ่งถ้าได้ทำในสิ่งที่เรารักและมีความสุขจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นค่ะ 10. การขอบคุณ การขอบคุณไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่เป็นพลังงานที่ทรงพลังที่สามารถดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตของเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เมื่อเราฝึกขอบคุณในสิ่งที่เรามีอยู่ทุกวัน จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? เมื่อเราขอบคุณ เราจะเปลี่ยนโฟกัสจากสิ่งที่ขาดแคลนมาเป็นสิ่งที่เรามีอยู่ ทำให้เรารู้สึกพึงพอใจและมีความสุขมากขึ้น การขอบคุณสร้างพลังงานบวกที่ดึงดูดพลังงานบวกอื่นๆ เข้ามาในชีวิต กฎแห่งแรงดึงดูดบอกว่า สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราพูด และสิ่งที่เรารู้สึก จะดึงดูดสิ่งที่คล้ายกันเข้ามา ดังนั้นการขอบคุณทำให้เรารู้สึกอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจะดึงดูดความอุดมสมบูรณ์ในรูปแบบอื่นๆ เข้ามาค่ะ 11. การลงมือทำ การตั้งเป้าหมายเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่สิ่งที่จะทำให้เป้าหมายนั้นเป็นจริงได้ก็คือการลงมือทำ การลงมือทำเป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ความคิดและแผนการกลายเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ค่ะ การลงมือทำเป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดและแผนการให้เป็นรูปธรรม ทำให้เราเห็นความคืบหน้าและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง การลงมือทำแต่ละครั้งจะช่วยสร้างความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นว่าเราสามารถทำได้ ซึ่งการลงมือทำจะทำให้เราได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและประสบการณ์จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาตนเอง และการลงมือทำอาจนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ ที่เราคาดไม่ถึง และนั่นคือความรู้ดีๆ จากหนังสือเล่มนี้ที่ผู้เขียนอยากส่งต่อค่ะ โดยเนื้อหาในบทความนี้ที่ได้สรุปออกมาจะช่วยให้คุณผู้อ่านเข้าใจถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเราเอง และวิธีการปลดปล่อยพลังนั้นออกมาใช้นะคะ และหนังสือเล่มนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องจิตวิทยา แต่ยังเกี่ยวข้องกับปรัชญาและจิตวิญญาณ จึงทำให้แนวคิดที่นำเสนอสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายด้านของชีวิตค่ะ ที่ผู้เขียนเองก็ได้อ่านทำความเข้าใจและก็นำมาปรับใช้ในชีวิตเหมือนกันค่ะ ที่เนื้อหายังใช้ได้ตลอดในทุกยุคทุกสมัย ที่ต้องค่อยๆ นำไปปรับใช้ในทุกวันค่ะ โดยอย่าเพิ่งไปคิดว่า โห! ตั้ง 11 ข้อ ตายแน่ถ้าต้องนำมาจำและใช้จริง ซึ่งในสถานการณ์จริงนั้นเราจะไม่นำทุกข้อมาถล่มตัวเองในคราวเดียวกันค่ะ แต่จะเกิดขึ้นในลักษณะที่ปรับใช้แบบค่อยเป็นค่อยไปนะคะ ที่ตื่นรู้ว่ามีแนวทางตามเนื้อหาข้างต้นค่ะ ซึ่งผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากชอบบทความแบบนี้อีก ก็อย่าลืมกดติดตามหรือกดบุ๊กมาร์กหน้าโปรไฟล์ไว้นะคะ เพราะจะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ ที่จะได้นำมาเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปกและภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา : พยาบาลศาสตรบัณฑิต (B.N.S.) จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม); M.P.H. (Environmental Health) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ : สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่น่าสนใจโดย Pchalisa https://news.trueid.net/detail/mA4rDp8x1bRa https://news.trueid.net/detail/vL4j37ed25Ep https://news.trueid.net/detail/DpVeOJN696AZ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !