สศค. คาดปี 64 รัฐโยกเงินกระตุ้น ศก.อีก 5 แสนล้าน พยุงจีดีพีโต 2.8%

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวในการเสวนา” แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. กับทิศทางเศรษฐกิจและตลาดทุนปี2564″ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า กระทรวงการคลัง ประเมินว่าปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ประมาณ 2.8% จากการที่หลายเครื่องยนต์ด้านเศรษฐกิจเริ่มผงกหัวขึ้นแล้ว แต่การฟื้นตัวยังกลับไปไม่เท่าระดับเดียวกับปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากเครื่องยนต์ต่างๆ เช่น การส่งออก การท่องเที่ยว ยังทรุดตัวลงมากกว่าปีก่อนหน้า
น.ส.กุลยา กล่าวต่อว่า แม้จะเริ่มมีการฉีดวัคซีนแล้ว แต่ยังไม่ได้ครอบคลุมในทุกประเทศ คาดว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้เร็วที่สุดช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยประมาณ 5 ล้านคน เครื่องยนต์ตรงนี้จึงลดลง ส่วนภาคเอกชนการเข้าถึงเงินเงินทุนยังมีความติดขัด จึงเหลือเครื่องยนต์จากภาครัฐ เป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเม็ดเงินภาครัฐต้องเข้ามาช่วย ช่วงเศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ นอกจากเม็ดเงินงบประมาณแล้ว ที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจให้ได้ทันท่วงที ปี 2563 จึงมีพ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เข้าช่วยเหลือเศรษฐกิจ ตามนโยบายของภาครัฐ ที่ต้องการรักษาสมดุลของด้านเศรษฐกิจและด้านสาธารณสุข
“ขณะนี้เงินใน พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ใช้ไปแล้วประมาณ 7 แสนล้านบาท เหลืออยู่ 2.88 แสนล้านบาท จากช่วงปลายปี 2563 มีประมาณ 3 แสนล้านบาท เงินที่ใช้ไปสามารถพยุงเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 2563 ได้ ทำให้จากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะลบ 7% ถึงลบ 8% เหลือ ลบ 6.4% คาดว่าปี2564 จะมีเม็ดเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ออกมาสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 5 แสนล้านบาท เป็นเม็ดเงินจากภาครัฐที่เข้ามาใช้พยุงและสนับสนุนเศรษฐกิจไทย ที่มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้น” น.ส.กุลยา กล่าว
น.ส.กุลยา เผยว่า นอกจากนี้ รัฐบาลต้องดูแลฐานะการคลังในภาพรวม และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งระบบการเงินและการคลัง เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจไทยที่กำลังเติบโต คือ เงินในส่วนงบประมาณ 3.286 ล้านล้านบาท ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยเร่งการลงทุนของภาครัฐ ขณะที่ช่วงเศรษฐกิจของภาคเอกชนยังชะลออยู่ จึงจำเป็นต้องมีเม็ดเงินจากภาครัฐออกมาโดยเร็ว งบประมาณประจำปี 2564 ต้องเร่งเบิกจ่ายให้ได้ 98-99% ของงบประมาณ รวมทั้ง เม็ดเงินจากการลงทุนรัฐวิสาหกิจที่ออกมาประมาณ 3 แสนล้านบาท รวมทั้งการเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งกระทรวงการคลัง จะมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ช่วยปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ มาตรการพักชำระหนี้ ให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชน
น.ส.กุลยา กล่าวว่า จากที่คาดว่าการระบาดของโควิด-19 จะยังอยู่อีกนาน จึงเกิดเป็นความท้าทายสำคัญในมุมมองของภาครัฐ คือ เรื่องของวัคซีน ที่เมื่อไร จะมีการฉีดอย่างแพร่หลายและครบถ้วน รวมทั้งนักท่องเที่ยวจะกลับมาได้เมื่อไร เพราะปัญหาหลักของไทย คือ การพึ่งพาอุปสงค์จากภายนอกประเทศอย่างมาก อาทิ การส่งออก และการท่องเที่ยว รัฐบาลจึงต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีการพึ่งพาภายในประเทศมากขึ้น
น.ส.กุลยา ระบุว่า ส่วนแก้ไขระยะยาว ต้องมีการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น จากกรณีการระบาดของโควิด-19 ที่จ.สมุทรสาคร ไปสู่ 28 จังหวัด ทำให้เห็นว่าความเจริญกระจุกอยู่ในเมือง รวมทั้งความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะการเข้าถึงเทคโนโลยี ช่วงโควิด-19 ทำให้เห็นว่ามีบ้างส่วนไม่สามารเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีได้ ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบและพัฒนาโครงสร้างพื้นที่เหล่านี้ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่ปัจจุบันเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว รัฐบาลควรดูแลเรื่องการออม และเม็ดเงินที่จะใช้ดูแลหลังเกษียณอายุ ต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 หมดลง นี้คือความท้าทายทั้งหมดที่รัฐบาลต้องเจอ