Hi there! วันนี้ทักทายเป็นภาษาอังกฤษกันหน่อย เพราะเราจะมาแชร์ความรู้และเทคนิคที่น่าสนใจมากมายให้กับเพื่อน ๆ ได้เรียนรู้กันค่ะ หลังจากที่ได้เข้าอบรบอย่าง exclusive กับ Ajarn Adam ก็ได้ความรู้มาเยอะเลย ซึ่งเชื่อว่าหลายคนที่กำลังเรียนหรือกำลังฝึกภาษาอังกฤษก็มีเป้าหมายเดียวกันคืออยากพูดกับฝรั่งรู้เรื่อง บางคนทั้งท่องศัพท์ จด Grammar และ tense ต่าง ๆ ได้แม่นยำมาก แต่เมื่อพูดกับชาวต่างชาติแล้วเขาฟังเราไม่รู้เรื่อง! ก็อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ เพราะเราสามารถปรับปรุงสกิลเหล่านั้นได้แน่นอน วันนี้เลยจะมาแชร์ วิธีสื่อสารกับฝรั่งให้รู้เรื่อง ฉบับ Ajarn Adam ให้กับเพื่อน ๆ ได้นำไปปรับใช้และปรับปรุงสกิลภาษาอังกฤษของแต่ละคนกันค่ะ จะมีวิธีไหนบ้างไปดูกันนวิธีสื่อสารกับฝรั่งให้รู้เรื่อง ฉบับ Ajarn Adam1. การออกเสียงควบกล้ำให้ชัดเจน (English Consonant Clusters) เสียงควบกล้ำหรือที่เราเรียกภาษาอังกฤษว่า English Consonant Clusters นั้นเองค่ะ ซึ่งปัญหาของคนไทยส่วนใหญ่จะไม่สามารถออกเสียงควบกล้ำได้ชัดเจน เนื่องจากภาษาไทยมีเสียงควบกล้ำมากที่สุดเพียง 2 เสียงเท่านั้น ในขณะที่ภาษาอังกฤษมีเสียงควบกล้ำมากถึง 4 เสียงด้วยกันค่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องหมั่นฝึกออกเสียงควบกล้ำบ่อย ๆ หากออกเสียงผิดจะทำให้ความหมายเปลี่ยนเป็นความหมายอื่นได้เลยค่ะ เช่น คำว่า play แต่เราไม่ได้ออกเสียงควบกล้ำ จึงกลายเป็น pay แทน ความหมายจึงเปลี่ยนไปเลย เพราะเหตุนี้จึงอาจทำให้ฝรั่งไม่เข้าใจที่เราจะสื่อได้ค่ะ ในการออกเสียงควบกล้ำจะมี 2 รูปแบบด้วยกัน การออกเสียงควบกล้ำต้นพยัญชนะให้ออกเสียงพยัญชนะตัวแรกชัดกว่าพยัญชนะตัวต่อไป เช่น Smile ให้ลองออกเสียง /s/ /m/ หลายๆ รอบ แล้วเติมสระพร้อมกับปิดด้วยเสียง /l/ จะออกเสียงได้ว่า /smaɪl/ สามารถใช้เทคนิคนี้กับคำควบกล้ำอื่นๆ ได้เช่นกันค่ะ การออกเสียงควบกล้ำท้ายพยัญชนะสามารถใช้เทคนิคเดียวกันกับเสียงควบกล้ำต้นพยัญชนะได้เลย แต่อย่างไรก็ตามหากเสียงควบกล้ำมี 3 เสียง สามารถตัดพยัญชนะตรงกลางออกได้เลย เช่น Glimpse เมื่ออ่านออกเสียงเราจะตัดเสียง /p/ ออกไปค่ะ แต่ก็ยังมีคำบางคำที่เป็นข้อยกเว้น เช่น Againts คำนี้จะออกเสียงทั้ง 3 เสียงเลย ซึ่งเพื่อความแน่ใจ เพื่อนๆ สามารถเช็คคำเหล่านั้นในพจนานุกรมออนไลน์ได้เลยค่ะ2. ออกเสียงคำลงท้าย (Word Endings) ในภาษาอังกฤษเรียกคำลงท้ายว่า Word Endings หรือคำลงท้ายนั้นเองค่ะ มี 2 เสียงคือ เสียง -ed และเสียง -s การออกเสียงคำลงท้ายถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญในการพูดภาษาอังกฤษเลยค่ะ เพื่อให้ความหมายที่เราจะสื่อออกมามีความชัดเจน หากคำไหนที่มีเสียงลงท้ายแต่เราไม่ได้ออกเสียงลงท้ายก็อาจจะทำให้ความหมายที่จะสื่อนั้นผิดเพี้ยนไปได้ ในการออกเสียงคำลงท้ายให้แม่นยำมากขึ้นจะต้องใช้วิธีการฝึก และ จำให้มาก ๆ ซึ่งในการออกเสียงคำลงท้ายจะสามารถออกเสียงได้มากกว่า 2 รูปแบบจะขึ้นอยู่กับเสียงก่อนคำลงท้าย สำหรับเทคนิคในการออกเสียงก็ง่าย ๆ เลยค่ะ การออกเสียง -ed จะสามารถออกเสียงได้ 3 แบบ หากคำเหล่านั้นลงท้ายด้วยเสียง /t/ และ /d/ วิธีการออกเสียง ให้เติมพยางค์เข้าไปคือเสียง /เออะ+d/ หรือ /อิ+d/ตัวอย่าง : Chatted, waited, needed, addedหากคำเหล่านั้นลงท้ายด้วยเสียง /b/, /d/, /g/, /v/, /th/, /m/, /n/, /ง/, /l/, /r/, /ว/, /ย/ หรือเรียกว่า Voiced Sound และสระทุกตัว ยกเว้นเสียง /d/ วิธีการออกเสียง ให้เพิ่มเสียง /d/ เบา ๆตัวอย่าง : Moved, cried, judgedหากคำเหล่านั้นลงท้ายด้วยเสียง /p/, /t/, /k/, /h/ หรือเรียกว่า Voiceless Sound ยกเว้นเสียง /t/ วิธีการออกเสียง ให้เพิ่มเสียง /t/ เบา ๆตัวอย่าง : Stopped, Walked, washed, watched การออกเสียง -s จะสามารถออกเสียงได้ 3 แบบ หากคำเหล่านั้นลงท้ายด้วยเสียง /s/, /z/, /sh/, /ch/, /dʒ/, /ʒ/ หรือเรียกว่า Fricatives โดยวิธีการออกเสียง ให้เติมพยางค์เข้าไปคือเสียง /เออะ+z/ หรือ /อิ+z/ตัวอย่าง : Kisses, Boxes, Wishesหากคำเหล่านั้นลงท้ายด้วย /b/, /d/, /g/, /v/, /th/, /m/, /n/, /ง/, /l/, /r/, /ว/, /ย/ หรือเรียกว่า Voiced Sounds และสระทุกตัว ยกเว้นเสียงในแบบแรก โดยวิธีการออกเสียง ให้ออกเสียงเสียง /z/ เบา ๆตัวอย่าง : Pens, Eyes, Bags, Birdsหากคำเหล่านั้นลงท้ายด้วยเสียง /p/, /t/, /k/, /h/ หรือเรียกว่า Voiceless Sounds ยกเว้นเสียงในแบบแรก โดยวิธีการออกเสียง ให้เพิ่มออกเสียง /s/ เบา ๆตัวอย่าง : Books, Cats, Stops3. เน้นพยางค์ให้ถูกต้อง (Word Stress) ด้วยความที่ภาษาไทยจะไม่มีการเน้นเสียงหนักเสียงเบาแต่จะเน้นเฉพาะเสียงวรรณยุกต์เท่านั้น การพูดภาษาอังกฤษให้ถูกต้องจะต้องมีการเน้นพยางค์ที่ถูกที่ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่มักจะเน้นไม่ถูกที่ หรือไม่เน้นเลย ซึ่งก็อาจจะทำให้ความหมายผิดไปกลายเป็นความหมายอื่นและทำให้ฝรั่งฟังไม่เข้าใจนั้นเองค่ะ ในการเน้นพยางค์เราจะสามารถดูที่จำนวนของเสียงสระซึ่งจะเป็นตัวกำหนดพยางค์ของคำ แต่จะมีบางคำที่รูปกับเสียงไม่เหมือนกัน เช่น Vegetable มีสระถึง 4 ตัวแต่ออกเสียง 3 พยางค์เท่านั้น เทคนิคในจำว่าควรเน้นหนักพยางค์ไหนมีดังนี้ เมื่อคำที่มี 2 พยางค์เป็น คำนาม (Nouns)จะเน้นพยางค์หน้าถึง 90% นั้นแปลว่าอีก 10% จะมีการเน้นพยางค์กลางหรือพยางค์หลังนั้นเอง เช่น 'Mo.ther, 'Rab.bit เมื่อคำที่มี 2 พยางค์เป็น กริยา (Verbs)จะเน้นพยางค์หลังถึง 60% และอีก 40% จะมีการเน้นพยางค์หน้า เช่น Be.'live, Des.'cribe เมื่อเป็นคำที่มี 3 พยางค์ขึ้นไป ให้เราดูที่ Suffixes ของคำ1. เมื่อลงท้ายด้วย -tion, -sion, -ion, -ity, -ety, -ic, -ical, และ suffix อื่นๆ ที่มีตัว I เป็นส่วนประกอบให้โดน 1 ทีเพื่อเน้นพยางค์หน้า Suffix (ยกเว้น -ique ที่เน้นตัวมันเอง) เช่น 'Pa.tient, 'Po.sitive2. เมื่อลงท้ายด้วย -ate ให้กระโดดไปข้างหน้า 2 ทีเพื่อเน้นพยางค์ เช่น 'Gradu.ate3. เมื่อลงท้ายด้วย -ee, -ese, - esque, -eer, -aire และ Suffix อื่นๆ ที่มีตัว E เป็นส่วนประกอบให้อยู่กับที่ และเน้นตัว Suffix เองค่ะ เช่น Volun.'teer, Engi.'neer4. เพิ่มความเข้าใจกับการเชื่อมคำ (Linking Sound) การเชื่อมคำ หรือเรียกว่า Linking Sound ซึ่งเราจะเห็นบ่อย ๆ ผ่านหนังหรือซีรีส์ฝรั่งว่าเขามีการพูดรัวมาก และเชื่อมคำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติในการสนทนาเลยค่ะ ลองสังเกตเวลาเราพูดภาษาไทยเราก็มักจะพูดออกไปยาว ๆ และมีการเชื่อมคำ ผสมกันอย่างแนบเนียน ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน ฝรั่งเขาจะไม่พูดทีละคำ ๆ เพราะฉะนั้นแล้วเราอาจจะฟังเขาไม่เข้าใจหรือเขาก็จะฟังเราไม่เข้าใจเช่นกันค่ะ เพื่อให้เราพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เชื่อมคำเป๊ะ และเน้นคำถูกต้อง ก็ต้องมีการเน้นพยางค์ให้ถูกต้องนั้นเองค่ะ การเชื่อมคำที่เจอบ่อย ๆ มีดังนี้ เมื่อพยัญชนะเจอเสียงสระพยัญชนะจะมีความกลมกลืนไปกับเสียงสระ เหมือนเป็นคำเดียวกัน ตัวอย่าง : Hang on = Ha ngon, Stop it = sto pit เมื่อเสียงสระเจอเสียงสระเสียงสระเจอกันจะกลายเป็น 2 เสียง : ออกเสียง /ย/ เมื่อจบด้วยเสียงสระปากเหยียดดังนี้ /อิ/ /อี/ /แอะ/ /แอ/ และ ออกเสียง /ว/ เมื่อจบด้วยเสียงสระปากกลมดังนี้ /อุ/ /อู/ /เอาะ/ /ออ/ ตัวอย่าง : Enjoy it ออกเสียง /ย/ เป็น /เอนจอยิท/ตัวอย่าง : How are you? ออกเสียง /ว/ เป็น /ฮาววายู/ เมื่อพยัญชนะเจอพยัญชนะเมื่อพยัญชนะมาเจอกันจะกลายเป็นเสียงเดียวตัวอย่าง : เสียง /t/ เจอ เสียง /ย/ = /sh/ ดังนี้ Don't you know? /ด้อนทฺ เชอะ โน/ เสียง /d/ เจอเสียง /ย/ = /dʒ/ (เจยอะ) ดังนี้ Would you help? /เวอด จยู เฮลพฺ/ เสียง /s/ เจอเสียง /ย/ = /เชอะ/ ดังนี้ I miss you /ไอ มิช ชู/ เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับ รวมวิธีสื่อสารกับฝรั่งให้รู้เรื่อง ฉบับ Ajarn Adam ได้ความรู้จุก ๆ กันไปเลยใช่ไหมละคะ สรุปมาให้แบบแน่น ๆ มัดรวมมาให้เลย ในปัจจุบันการสื่อสารภาษาอังกฤษก็ถือว่าไม่ไกลตัวเราแล้ว เพราะมีทั้งเทคโนโลยีที่สามารถสื่อสารกับคนทั่วโลกได้สบาย ๆ หลาย ๆ คนน่าจะได้ความรู้กลับไปปรับปรุงสกิลของตัวเองกันเยอะเลย รับรองว่าฝรั่งเข้าใจที่เราจะสื่อสารได้มากขึ้นแน่นอน! ซึ่งหญิงเองก็กำลังเรียนเรื่องนี้อยู่ค่ะ ทำให้รู้สึกว่าเราสื่อสารดีขึ้น มีความมั่นใจในการสนทนากับชาวต่างชาติมากขึ้น อีกอย่างภาษาเราก็ดีขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย สำหรับใครที่อ่าน Ep.1 จบแล้วอย่าลืมอ่านต่อ Ep.2 กันนะ ได้ความรู้แน่น ๆ อีกเช่นเคยค่ะ See you!ขอบคุณภาพปกจาก: Canva.comขอบคุณรูปภาพจาก: Canva.comเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !