“Love & Grief: Find Healing, Meaning and Purpose in Life After Loss” โดย Emily P. Bingham 💬 ความรู้สึกแรกหลังอ่าน ขอเริ่มจากความรู้สึกเลยนะคะ… หนังสือเล่มนี้ไม่ได้แค่ “เล่าเรื่องการสูญเสีย” แต่มันเหมือนพาเรานั่งอยู่ข้าง ๆ ใครบางคนที่เข้าใจ “ความไม่เข้าใจของคนรอบตัว” หนังสือนี้โอบรับเราด้วยความเข้าใจ ไม่เร่ง ไม่กดดัน และไม่พยายามจะเปลี่ยนความเศร้าให้กลายเป็นบวกในทันที แต่ค่อย ๆ สอนให้เราเห็นความหมายของมันแทน 🪞 หนังสือที่ทำให้เราได้มองความเจ็บปวดด้วย “ความสงสัย” แทน “การตำหนิ” สิ่งแรกที่โดดเด่นและรู้สึกประทับใจมากคือหลัก 6 Cs of Grief ที่ผู้เขียน Emily P. Bingham ใช้ในการพาเราก้าวผ่านความสูญเสีย เธอไม่ได้มอง grief ว่าเป็นอารมณ์ที่ต้อง “จัดการให้หมด” แต่เธอมอง grief เป็นกระบวนการที่ต้อง “อยู่กับมันอย่างรู้สึก” 💠 6 Cs of Grief: หัวใจของการเยียวยาอย่างลึกซึ้ง 1. Curiosity – ความสงสัยแทนการตำหนิ ในช่วงที่คนเราสูญเสีย เรามักรู้สึกว่า “เราผิดเองหรือเปล่า” หรือ “ทำไมถึงยังเศร้าอีก” Emily ไม่ได้บอกให้เราหยุดความเศร้า แต่เธอชวนให้เราหันมาสงสัยมันดูดี ๆ ว่า… “อารมณ์นี้กำลังจะบอกอะไรฉัน?” แทนที่จะกลัวความโกรธ ความเศร้า หรือความว่างเปล่า เธอสอนให้เราสงสัยแบบเพื่อนที่อยากเข้าใจเรา ไม่ใช่คนตัดสิน ความสงสัยคือการเริ่มต้นของการเยียวยา 2. Community – ชุมชนที่ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้บ้า ความรู้สึกของการ “อยู่คนเดียวในโลกที่ไม่เข้าใจ grief” เป็นสิ่งที่เรา เคยเผชิญ และในหนังสือเล่มนี้ Emily พูดชัดเลยว่า… “เมื่อคุณเห็นว่าคนอื่นก็เจ็บ และยังลุกขึ้นมาได้ คุณจะเริ่มเชื่อว่าคุณก็ทำได้เช่นกัน” มันไม่ใช่เรื่องของการเปรียบเทียบ แต่เป็นการได้เห็น “ความหวัง” ในตาของคนอื่น แค่มีใครบางคนรับฟัง หรือร่วมแบ่งปันความเศร้า มันก็ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเราบ้าอีกต่อไป 3. Coping Skills – ทักษะการอยู่กับความเจ็บโดยไม่ต้องผลักไส Emily อธิบายว่า ความโศกเศร้าไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นคลื่น ซึ่งบางวันอาจแรง บางวันอาจเบา แล้ววันหนึ่งเราจะ “ว่ายน้ำในคลื่นเหล่านี้ได้คล่องขึ้น” ถ้าเรามีทักษะการรับมือที่ดี ทักษะพวกนี้ไม่ได้ซับซ้อน เช่น การหายใจลึก ๆ การเดิน การเขียน journal หรือแค่ยอมให้ตัวเองนอนร้องไห้โดยไม่รู้สึกผิด — มันคือการสร้าง “ความทนทานทางอารมณ์” หรือ “grief tolerance” ที่ไม่ต้องแข็งแรงที่สุด แต่แค่ “อยู่กับมันได้” มากขึ้นทุกวัน 4. Connection – การเชื่อมโยงกับคนที่จากไป โดยไม่ต้องตัดใจ จุดนี้ ชอบที่สุดในเล่มเลยค่ะ เพราะ Emily บอกว่า… “การรักษาสายใยกับคนที่จากไป ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่มันคือการเยียวยาอย่างมีความหมาย” เราสามารถคุยกับเขาในใจ ฟังเพลงที่เขาชอบ หยิบของที่เคยใช้ร่วมกัน หรือแค่ส่งความรักในความคิดถึง — การติดต่อแบบนี้ ไม่จำเป็นต้อง “ปล่อย” หรือ “ตัดขาด” เสมอไป เพราะความรักมันไม่จบตรงความตาย 5. Compassion – ความเมตตาต่อตัวเอง ในวันที่เรายังเดินไม่ไหว Emily สะกิดเราว่า… “ลองมองตัวเองจากข้างนอกสิ แล้วจะเห็นว่าคุณต้องผ่านอะไรมาบ้าง” ในวันที่เราไม่อยากลุก ไม่อยากตอบแชตใคร หรือยังร้องไห้กับเรื่องเดิมซ้ำ ๆ เราไม่ต้องรู้สึกผิด แค่ให้ “พื้นที่ปลอดภัย” กับตัวเองบ้าง ให้โอกาสตัวเองได้พัก ได้พัง และได้ฟื้น 6. Consciousness – การเติบโตทางจิตใจที่เกิดจากความเจ็บปวด Emily เชื่อว่าการสูญเสียไม่ได้ทำลายเรา แต่มันเปิด “ประตูภายใน” ให้เราเข้าไปสำรวจบาดแผลเก่า ความเชื่อเดิม ๆ และเงื่อนไขที่เราเคยใช้ตัดสินตัวเอง มันอาจจะเจ็บ แต่มันคือการเปลี่ยน “ฉันผู้ถูกทำร้าย” → “ฉันที่มีอำนาจในการเลือกเส้นทางใหม่” บางครั้ง grief ทำให้เราได้พบกับตัวตนที่แท้จริงในเงามืดของมัน 🎯 ความหมายของ “เป้าหมายชีวิต” ที่ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ ตอนท้ายของหนังสือ Emily ได้สะกิดใจมากว่า… “ความหมายของชีวิตไม่จำเป็นต้องผูกกับงาน เงิน หรือภาพลักษณ์ แต่คือ ‘การมีอยู่’ อย่างแท้จริง” เธอชวนให้เรามอง “เป้าหมาย” แบบเล็ก ๆ ที่เติมเต็มเราได้จริง เช่น ไปกินข้าวกับคนที่รัก อ่านหนังสือที่ทำให้ใจเบา ปลูกต้นไม้ ดูแลสิ่งเล็ก ๆ เขียนจดหมายถึงตัวเองหรือคนที่จากไป คิดว่าสิ่งเหล่านี้คือ “การกลับมาใช้ชีวิตด้วยความรัก แม้จะยังเจ็บอยู่” 💬 เสียงสะท้อนในใจหลังอ่านจบ หลังอ่าน Love & Grief จบ ไม่ได้รู้สึกว่า “ฉันหายเศร้า” ทันทีหรอกค่ะ แต่สิ่งที่ได้คือ “ฉันไม่ต้องรีบหายเศร้าก็ได้” ฉันแค่ต้องให้เวลากับตัวเอง อยู่กับ grief อย่างอ่อนโยน และซื่อตรงกับความรู้สึก ไม่ต้องกลัวว่าจะเศร้าเกินไป หรือคิดถึงนานเกินไป มันสอนว่า grief ไม่ใช่สิ่งที่ต้องแก้ แต่มันคือประตูหนึ่ง ที่จะพาเราเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้น หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร: คนที่กำลังเสียใจจากการสูญเสีย (คน สัตว์ ความฝัน หรือความสัมพันธ์) คนที่ต้องการพื้นที่ปลอดภัยในการเยียวยาใจ คนที่รู้สึกว่า “ไม่มีใครเข้าใจฉันเลยตอนนี้” คนที่อยากเรียนรู้จะอยู่กับ grief แบบไม่ผลักไสมัน ความโศกเศร้าไม่ใช่จุดจบ แต่คือประตูของการเปลี่ยนผ่าน หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้บอกให้เราทิ้งความเจ็บ แต่มันชวนให้เรา “อุ้มความเจ็บไว้ด้วยรัก” แล้วค่อย ๆ เดินไปพร้อมกัน เครดิตภาพถ่าย : ถ่ายเองจากมือถือทุกภาพค่ะ ขอให้ทุกคนมีวันที่ดีค่ะ ขอบคุณค่ะ :)) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !