รีเซต

รู้ได้ก่อนแพร่เชื้อ !! อุปกรณ์ตรวจจับไข้หวัดใหม่ ใช้ “รสชาติ” เช็กอาการ

รู้ได้ก่อนแพร่เชื้อ !! อุปกรณ์ตรวจจับไข้หวัดใหม่ ใช้ “รสชาติ” เช็กอาการ
TNN ช่อง16
9 ตุลาคม 2568 ( 09:37 )
12

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเวิร์ซบวร์ก ประเทศเยอรมนี เผยผลการวิจัยเครื่องมือตรวจจับไข้หวัดใหญ่รูปแบบใหม่ ใช้การรับ “รสชาติ” ตรวจจับอาการได้ก่อนที่จะมีการแพร่เชื้อ

ชุดตรวจจับไข้หวัดใหญ่ด้วย “รสชาติ”

ปัจจุบันมีอุปกรณ์สำหรับตรวจหาเชื้อไข้หวัดใหญ่ ราคาไม่แพง ที่ใช้ตรวจได้ด้วยตนเองที่บ้านแล้ว แต่ชุดตรวจเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยเริ่มแสดงอาการแล้วเท่านั้น หมายความว่าผู้ป่วยจะยังสามารถแพร่เชื้อได้ในระหว่างการตรวจ

ดังนั้น เพื่อที่จะสามารถตรวจพบการติดเชื้อได้ก่อนที่จะแสดงอาการ นักวิจัยมหาวิทยาลัยเวิร์ซบวร์ก ประเทศเยอรมนี จึงได้คิดค้นเครื่องตรวจโดยใช้ “โมเลกุล” ขึ้นมา 

เครื่องตรวจนี้ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ โดยปัจจุบันยังอยู่ในลักษณะของเซนเซอร์ สำหรับใช้ตรวจสอบผ่านทางปาก โดยเมื่อเอาตัวเซนเซอร์ไปวางในปากของผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ไวรัสจะกระตุ้นนิวรามินิเดส (neuraminidase) หรือก็คือไกลโคโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของไวรัสไข้หวัดใหญ่ และเป็น "N" ในไวรัส H1N1 หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ เอช1 เอ็น1 (H1N1)

โดยปกติแล้ว ไวรัสจะใช้ เอนไซม์นิวรามินิเดส เพื่อทำลายพันธะของเซลล์โฮสต์ ที่มันกำลังโจมตี ซึ่งในเซนเซอร์ เอนไซม์นิวรามินิเดส จะจับกับโมเลกุลของสารประกอบฟีนอลิกที่เรียกว่า “ไทมอล” (thymol) หมายความว่าลิ้นของผู้ป่วยจะรับรู้ถึง “รสชาติ” ที่เหมือนกับ สมุนไพรไทม์ (thyme) ซึ่งเป็นสมุนไพรเครื่องเทศ มีกลิ่นหอม จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับมิ้นท์ (Lamiaceae) และออริกาโน (Oreganum) ซึ่งตามคำอธิบายแล้วไทมอล เป็นสารหนึ่งที่พบในสมุนไพรไทม์ ดังนั้นถ้าเมื่อวางเซนเซอร์ลงบนลิ้น และผู้ใช้งานรับรสชาติของสมุนไพรไทม์ได้ ก็จะรู้ตัวว่าเป็นไข้และสามารถกักตัวได้นั่นเอง

ยังไม่ได้ทดสอบในมนุษย์

จากการทดสอบ หย่อยเซนเซอร์ลงในขวดน้ำลายที่ได้จากผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ พบว่าเครื่องตรวจสามารถปล่อยไทมอล (thymol) ออกมาได้สำเร็จภายใน 30 นาที ส่วนการทดลองในมนุษย์อาจเริ่มต้นขึ้นภายใน 2 ปี ต่อจากนี้ หากพัฒนาได้สำเร็จ เทคโนโลยีนี้จะสามารถนำมาใช้กับผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ หรือผู้ที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวดจากไวรัส

งานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ACS Central Science  : https://pubs.acs.org/doi/10.1021/acscentsci.5c01179

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง