สิ่งแวดล้อมภายในบ้าน มีอะไรบ้าง ที่ควรรู้! | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล บ้านคือที่พักพิงที่ให้ความอบอุ่นและปลอดภัย แต่คุณผู้อ่านรู้หรือไม่ว่า สิ่งแวดล้อมภายในบ้านของเรานั้นมีผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเราอย่างมาก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่เราหายใจ ฝุ่นละอองที่เรามองไม่เห็น หรือแม้แต่แสงสว่างที่ส่องถึง โดยการรู้ว่าสิ่งแวดล้อมภายในบ้านที่ควรให้ความสำคัญมีอะไรบ้าง สามารถทำให้เรามองเห็นภาพและเข้าใจมากขึ้นว่า วิธีปรับปรุงเพื่อให้บ้านของเราให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยที่สุขสบายและปลอดภัยนั้นต้องทำอะไรบ้าง เพราะด้วยความที่ว่าคนส่วนใหญ่มักใช้เวลาอยู่ในบ้าน ดังนั้นสิ่งแวดล้อมภายในบ้านจึงมีผลกระทบต่อสุขภาพของเราอย่างมาก ที่ในบทความนี้เราจะมารู้กันว่า บ้านของเราหนึ่งหลัง ถ้าคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว จะพบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจเหล่านี้ค่ะ 1. คุณภาพอากาศ คุณภาพอากาศภายในบ้าน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพของเราโดยตรง อากาศที่สะอาดปราศจากมลพิษจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นและมีสุขภาพที่ดีขึ้น การดูแลคุณภาพอากาศภายในบ้านเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของเรา การทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ การระบายอากาศที่ดี และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นวิธีง่ายๆ ที่เราสามารถทำได้เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาดและมีสุขภาพดีในบ้านของเรา เพราะจะทำให้อากาศภายในบ้านควรสะอาด ปราศจากฝุ่นละออง สารเคมี และเชื้อโรค ควรมีการระบายอากาศที่ดี และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย 2. แสงสว่าง แสงสว่างเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตภายในบ้านของเรา การมีแสงสว่างที่เพียงพอและเหมาะสมจะช่วยให้เราทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย และยังช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลายได้อีกด้วย แสงสว่างที่เหมาะสมช่วยให้สายตาไม่เมื่อยล้า และยังมีผลต่ออารมณ์และสุขภาพจิตอีกด้วย แสงสว่างที่เพียงพอช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แสงสว่างสามารถเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของห้องได้ ควรเปิดหน้าต่างบานใหญ่เพื่อให้แสงสว่างเข้ามาในห้องให้มากที่สุด และใช้แสงไฟช่วยเสริมแสงธรรมชาติและใช้ในเวลากลางคืน โดยควรเลือกใช้หลอดไฟที่ให้แสงสีที่เหมาะสมกับแต่ละห้อง เช่น แสงสีอบอุ่น (Warm White) เหมาะสำหรับห้องนอน ห้องนั่งเล่น แสงสีขาว (Cool White) เหมาะสำหรับห้องทำงาน ห้องครัว แสงสีนวล (Neutral White) เหมาะสำหรับใช้ทั่วไป 3. ความชื้น ความชื้น คือ ปริมาณไอน้ำในอากาศ หากความชื้นในบ้านสูงเกินไป จะส่งผลเสียต่อสุขภาพและโครงสร้างของบ้านได้ค่ะ และสาเหตุของความชื้นในบ้าน ได้แก่ การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การอาบน้ำ ทำอาหาร ซักผ้า ล้วนเป็นกิจกรรมที่สร้างความชื้น การรั่วซึม เช่น รอยรั่วในท่อน้ำ ฝ้าเพดาน หรือผนัง สามารถทำให้เกิดความชื้นได้ การระบายอากาศไม่ดี จากการปิดหน้าต่างและประตูตลอดเวลา ทำให้ความชื้นสะสม สภาพอากาศในช่วงฤดูฝนหรือที่มีความชื้นในอากาศสูง จะส่งผลต่อความชื้นภายในบ้านได้ และสัญญาณที่บ่งบอกว่าบ้านของเรามีความชื้นสูง เช่น มีกลิ่นอับชื้น โดยเฉพาะในบริเวณที่อับแสง ผนังหรือเพดานมีรอยด่างดำเกิดจากเชื้อรา เฟอร์นิเจอร์และสิ่งทอมีคราบรา เช่น ผ้าม่าน หมอน รู้สึกเหนียวตัวเมื่อสัมผัสผนังหรือเฟอร์นิเจอร์ มีน้ำท่วมขังในบางจุด เช่น รอบๆ ท่อน้ำ ซึ่งวิธีแก้ไขปัญหาความชื้น เช่น การเปิดหน้าต่างบ่อยๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท หากเป็นไปได้ควรติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำและห้องครัว ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณที่ชื้น เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว เลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างและตกแต่งที่ทนความชื้น เช่น กระเบื้อง และซ่อมแซมรอยรั่วให้เรียบร้อยค่ะ 4. เสียง เสียงรบกวนภายในบ้านเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเราอย่างมาก เสียงที่ดังเกินไปหรือไม่พึงประสงค์สามารถทำให้เราขาดสมาธิ รบกวนการพักผ่อน และส่งผลต่อสุขภาพจิตได้ และตัวอย่างของสาเหตุของเสียงรบกวนภายในบ้าน มีดังนี้ เสียงจากภายนอก เช่น เสียงรถ เสียงคนเดิน เสียงสัตว์เลี้ยง เสียงงานก่อสร้าง เสียงจากภายในบ้าน เช่น เสียงเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องดูดฝุ่น เสียงคนพูดคุย เสียงโทรทัศน์ เสียงจากโครงสร้างอาคาร เช่น เสียงก้องของเสียงภายในห้อง เสียงรอยต่อของผนังหรือเพดาน โดยวิธีลดเสียงรบกวนภายในบ้าน ได้แก่ เลือกประตูและหน้าต่างที่มีความหนาแน่นสูง และมีซีลยางรอบๆ ใช้ผ้าม่านหนาเพราะสามารถช่วยดูดซับเสียงได้ ปลูกต้นไม้ เนื่องจากต้นไม้ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ ปูพรมเพราะพรมช่วยดูดซับเสียงและลดเสียงก้อง จัดวางเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะสมสามารถช่วยลดเสียงสะท้อน ใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุที่ดูดซับเสียง เช่น โซฟาผ้า ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ด้วยการพูดคุยด้วยเสียงเบา ปิดโทรทัศน์หรือเครื่องเล่นเพลงให้เบาลง และกำหนดเวลาที่เงียบสงบเพื่อการพักผ่อน 5. อุณหภูมิ คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า อุณหภูมิภายในบ้าน มีผลต่อความสะดวกสบายและสุขภาพของผู้อยู่อาศัยอย่างมาก หากอุณหภูมิไม่เหมาะสม อาจทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว และส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานหรือการพักผ่อนได้ โดยอุณหภูมิภายในบ้านควรอยู่ในระดับที่สบาย ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป ควรมีการระบายอากาศที่ดี และอาจใช้เครื่องปรับอากาศเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งอุณหภูมิที่รู้สึกสบายตัวสำหรับคนส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 23-25 องศาเซลเซียส แต่ละบุคคลมีความทนทานต่ออุณหภูมิที่แตกต่างกัน อุณหภูมิภายนอกที่สูงจะทำให้อุณหภูมิภายในบ้านสูงขึ้นตามไปด้วย บ้านที่ออกแบบมาให้มีการระบายอากาศที่ดี จะช่วยควบคุมอุณหภูมิได้ดีขึ้น การปลูกต้นไม้ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดและทำให้บ้านเย็นลง การใช้ม่านบังแดดสามารถช่วยลดความร้อนที่เข้ามาในบ้าน การมีฉนวนกันความร้อน จะช่วยลดการสูญเสียความเย็นในฤดูร้อน และลดการสูญเสียความร้อนในฤดูหนาว การเลือกใช้พัดลมสามารถช่วยระบายอากาศและลดความร้อนได้ค่ะ 6. กลิ่น กลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้านเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และอาจส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยได้ การกำจัดกลิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้านสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น กลิ่นอาหาร โดยเกิดจากการทำอาหาร การทิ้งอาหารเหลือทิ้ง หรือเศษอาหารที่ติดอยู่ตามภาชนะ กลิ่นสัตว์เลี้ยง ที่เกิดจากกลิ่นตัวของสัตว์เลี้ยง สิ่งขับถ่าย หรือเศษอาหาร กลิ่นอับชื้น ที่เกิดจากความชื้นสะสมในบริเวณที่อับแสง เช่น ตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำ กลิ่นบุหรี่ เช่น กลิ่นบุหรี่ติดอยู่ตามผนัง ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์ กลิ่นจากท่อน้ำทิ้ง เช่น เกิดจากการอุดตันของท่อน้ำทิ้ง หรือเศษอาหารที่เน่าเสีย กลิ่นจากสัตว์เล็กๆ เช่น แมลงสาบ หนู ซึ่งวิธีการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ได้แก่ ล้างจานชามทันทีหลังทานอาหาร ทิ้งขยะเป็นประจำ ซักผ้าปูที่นอนและผ้าห่มเป็นประจำ ทำความสะอาดห้องน้ำและห้องครัวอย่างละเอียด ตรวจสอบและทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง ตรวจสอบตู้เย็นและช่องแช่แข็งว่ามีอาหารบูดหรือไม่ ทำความสะอาดที่นอนและเบาะโซฟา ใช้เครื่องฟอกอากาศ เพื่อช่วยลดกลิ่นและฝุ่นละอองในอากาศ เพิ่มการระบายอากาศ เช่น เปิดหน้าต่างบ่อยๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท รวมไปถึงการใช้สารดับกลิ่นธรรมชาติ เช่น การวางกากกาแฟในถ้วยเปิดไว้ในตู้เย็นหรือห้องที่มีกลิ่น วางเบกกิ้งโซดาในถ้วยเปิดไว้ในตู้เย็นหรือตู้เสื้อผ้า เป็นต้น 7. ฝุ่นละออง ฝุ่นละอองเหล่านี้มักจะซ่อนตัวอยู่ตามซอกมุมและพื้นผิวต่างๆ ภายในบ้านของเรา และตัวอย่างของบริเวณที่ฝุ่นละอองชอบสะสม ได้แก่ ใต้เฟอร์นิเจอร์: ใต้เตียง ใต้โซฟา และใต้ตู้ต่างๆ เป็นที่ซ่อนตัวของฝุ่นละอองได้ดี พรม: พรมเป็นตัวดูดซับฝุ่นละอองได้มาก ม่าน: ม่านทำหน้าที่กรองฝุ่นละอองจากภายนอก ทำให้มีฝุ่นสะสมอยู่มาก เครื่องปรับอากาศ: แผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศเป็นที่สะสมของฝุ่นละออง หนังสือ: หนังสือเก่าหรือหนังสือที่ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน จะมีฝุ่นเกาะอยู่ตามปก ของตกแต่ง: ของตกแต่งต่างๆ เช่น รูปปั้น โมเดล ก็เป็นแหล่งสะสมฝุ่นได้ และวิธีการกำจัดฝุ่นละอองภายในบ้านง่ายๆ ได้แก่ ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ: ดูดฝุ่น: ควรดูดฝุ่นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยเน้นบริเวณที่มีฝุ่นสะสมมาก ปัดกวาด: ปัดกวาดฝุ่นบนเฟอร์นิเจอร์และพื้นผิวต่างๆ ซักผ้าปูที่นอนและผ้าห่ม: ควรซักอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อกำจัดไรฝุ่น ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ: ล้างแผ่นกรองอากาศเป็นประจำตามคำแนะนำของผู้ผลิต ลดปริมาณของใช้: ลดปริมาณของใช้ที่ไม่จำเป็น เพื่อลดพื้นที่ให้ฝุ่นสะสม เลือกวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย: เลือกเฟอร์นิเจอร์และวัสดุตกแต่งที่ทำความสะอาดได้ง่าย ใช้เครื่องฟอกอากาศ: เครื่องฟอกอากาศช่วยดักจับฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เปิดหน้าต่างระบายอากาศ: การเปิดหน้าต่างช่วยให้อากาศถ่ายเทและลดปริมาณฝุ่นภายในบ้าน สวมหน้ากาก: เมื่อทำความสะอาดบ้าน ควรสวมหน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่นเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ 8. สารเคมี หลายคนยังไม่รู้ว่า สารเคมีในบ้านนั้นอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน สเปรย์ฉีดแมลง หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ล้วนมีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ ซึ่งหากใช้ไม่ถูกวิธีหรือสัมผัสเป็นเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ และวิธีป้องกันอันตรายจากสารเคมี ได้แก่ อ่านฉลากก่อนใช้งาน: อ่านฉลากอย่างละเอียดเพื่อทำความเข้าใจถึงวิธีการใช้ ข้อควรระวัง และสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบ เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากแสดงว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน Green Label เก็บผลิตภัณฑ์ให้พ้นมือเด็ก: เก็บผลิตภัณฑ์เคมีในที่ปลอดภัยและล็อกให้แน่น สวมอุปกรณ์ป้องกัน: เมื่อใช้สารเคมีควรสวมถุงมือ หน้ากาก และแว่นตาป้องกัน ระบายอากาศให้ดี: เปิดหน้าต่างระหว่างและหลังการใช้สารเคมี หลีกเลี่ยงการผสมสารเคมี: การผสมสารเคมีชนิดต่างๆ อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่เป็นอันตรายได้ หากเกิดอาการผิดปกติ: ให้รีบไปพบแพทย์ทันที 9. ความปลอดภัย ความปลอดภัยภายในบ้านเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เพราะบ้านคือที่พักอาศัยที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดและภัยพิบัติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยบ้านควรมีความปลอดภัยจากอัคคีภัย การลื่นล้ม และการบาดเจ็บอื่นๆ ควรตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นประจำ และติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัย ติดตั้งเครื่องตรวจจับควัน ติดตั้งถังดับเพลิง ติดตั้งประตูหนีไฟ ทำความสะอาดพื้นให้แห้ง ใช้พรมกันลื่นในห้องน้ำ ซ่อมแซมพื้นที่เสียหายทันที เก็บของมีคมให้พ้นมือเด็ก จัดเก็บสารเคมีในที่ปลอดภัย สอนให้รู้จักอันตรายจากไฟฟ้า สอนให้รู้จักวิธีใช้ของมีคมอย่างปลอดภัย ตรวจสอบหลังคา รางน้ำ ฝ้าเพดาน และผนังให้แข็งแรง และซ่อมแซมรอยร้าว หรือส่วนที่ชำรุดค่ะ 10. รังสี ความกังวลเกี่ยวกับรังสีจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากเราใช้โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่ารังสีที่ปล่อยออกมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งมีพลังงานต่ำกว่ารังสีเอกซ์หรือรังสีแกมมาที่ใช้ในทางการแพทย์มาก และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น โทรศัพท์มือถือปล่อยคลื่นวิทยุ คอมพิวเตอร์ปล่อยแสงสีฟ้า ซึ่งแสงสีฟ้าเป็นที่กังวลมากที่สุด เนื่องจากการสัมผัสแสงสีฟ้าในปริมาณมากและเป็นเวลานาน อาจส่งผลต่อดวงตา ทำให้เกิดอาการตาแห้ง ตาล้า และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ อีกทั้งการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดความร้อน ซึ่งอาจส่งผลต่อผิวหนังบริเวณที่สัมผัสกับอุปกรณ์ได้ และวิธีลดความเสี่ยง มีดังนี้ จำกัดเวลาในการใช้อุปกรณ์: ควรแบ่งเวลาในการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และพักสายตาเป็นระยะ รักษาระยะห่าง: ควรเว้นระยะห่างจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้เหมาะสม ใช้ฟิลเตอร์กรองแสงสีฟ้า: สามารถติดตั้งฟิลเตอร์กรองแสงสีฟ้าบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนได้ ปรับความสว่างของหน้าจอ: ลดความสว่างของหน้าจอลง ใส่แว่นตาป้องกันแสงสีฟ้า: สำหรับผู้ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยลดผลกระทบจากแสงสีฟ้าได้ และนั่นคือภาพรวมของสิ่งแวดล้อในบ้านหนึ่งหลังค่ะ โดยการดูแลสิ่งแวดล้อมภายในบ้านที่ดี จะช่วยให้คุณผู้อ่านและครอบครัวมีสุขภาพที่ดี และมีความสุขในการอยู่อาศัยได้นะคะ เพราะสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราที่มีความเสี่ยง สามารถคุกคมสุขภาพของเราได้ค่ะ ซึ่งบ้านเราอยู่ก็คือสิ่งแวดล้อมหนึ่ง ที่มีตัวเราเป็นคนอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม หากบ้านเรามีปัจจัยที่สามารถส่งผลต่อสุขภาพได้ เราคนแรกจะได้รับผลกระทบเต็มๆ ค่ะ จากข้อมูลข้างต้นนั้น โดยส่วนตัวผู้เขียนเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะคะ ทิ้งขยะทุกวันค่ะ ทำความสะอาดบ้านตลอก มีน้ำเสียจัดการ มีรอยรั่วซ่อมทันทีค่ะ ที่นี่เปิดบ้านรับแสงตลอด และอื่นๆ อีก ทั้งหมดที่สามารถทำได้ ซึ่งที่ทำไปนั้น ไม่ได้ขยันค่ะ แต่ทำไปเพื่อปรับปรุงคุณภาพของสิ่งแวดล้อมในบ้าน พอทำจนติดเป็นนิสัย ก็ทำตลอดจนถึงปัจจุบันค่ะ ทำหมดไม่ว่าตอนนั้นจะอยู่บ้านเช่า ไปบ้านญาติ ไปบ้านเพื่อน อะไรทำได้ทำค่ะ ยังไงนั้นคุณผู้อ่านก็อย่าลืมนำคำแนะนำดีๆ ในนี้ไปใช้บ้างนะคะ ซึ่งผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากชอบบทความแบบนี้อีก ก็อย่าลืมกดติดตามหรือกดบุ๊กมาร์กหน้าโปรไฟล์ไว้นะคะ เพราะจะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ ที่จะได้นำมาเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปกและภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา : พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ : สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่น่าสนใจโดยผู้เขียน https://news.trueid.net/detail/oxpRjb8XR8YB https://news.trueid.net/detail/oajwBkkj8qpQ https://news.trueid.net/detail/q4qKljJV7vmR เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !