มีพลังที่มีอานุภาพอยู่พลังหนึ่ง ซึ่งจนถึงบัดนี้วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถหาคำอธิบายอย่างเป็นทางการได้ เป็นพลังที่รวมและควบคุมทุกสิ่ง อยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์ใดๆในจักรวาล และเรายังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับมันนัก พลังแห่งจักรวาลนี้คือความรัก นพ.ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์ จะมาพาเราไปพบความหมายของความรักในเชิงวิทยาศาสตร์แบบ Pop Science เข้าใจง่าย พร้อมภาพประกอบน่ารักๆโดย daofujiki ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.“การที่เราเจ็บจากการอกหักนั้น เป็นเพราะสมองของเราเจ็บจริงๆ ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า สมองส่วน Anterior Cingulate Cortex หรือ ACC ของพวกเขาจะทำงานมากกว่าปกติเมื่อมองรูปอดีตแฟน แต่สมองส่วนนี้กลับไม่ได้ทำงานอะไรเมื่อดูรูปเพื่อน ซึ่งสมองส่วน ACC นี้เป็นส่วนเดียวกับที่ทํางานหนักขึ้นเวลาที่เราเจ็บปวดทางกายด้วย สรุปง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าคุณจะเจ็บตัวหรือเจ็บใจ ก็กระตุ้นสมองส่วนเดียวกัน เราเลยรู้สึกเจ็บไม่ต่างกัน 2.สำหรับมนุษย์ที่ซับซ้อนอย่างเราๆ นอกจากอันตรายภายนอกแล้ว เรายังมีอันตรายภายในใจอย่าง “เพื่อนไม่คบ” ด้วย สาเหตุที่อันตรายก็เพราะในอดีตเราเป็นคนป่าที่อยู่กันเป็นฝูง มนุษย์สมัยก่อนไม่สามารถจะ ทำตัวอินดี้ติสต์แตก อยากอยู่คนเดียว อยากมีโลกส่วนตัว อะไรแบบนั้นได้เลย เพราะการอยู่คนเดียวในป่า = ความตาย ธรรมชาติจึงผูกเรื่อง ความสัมพันธ์ทางสังคมของเราไว้กับความรู้สึกเจ็บด้วย เพื่อให้มนุษย์ไม่สามารถทนกับสภาวะเช่นนี้ได้ ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ความสัมพันธ์กลับคืนมา (เช่น การส่งเมสเสจไปง้อแบบนอนสต็อป) เพื่อให้เรากลับมาถูกยอมรับอีกครั้ง และเราจะได้มีชีวิตรอด 3.วิธี Cognitive Reappraisal ซึ่งอธิบายว่า โดยทั่วไปเรามักจะคิดเรื่องต่างๆด้วยวงจรความคิดเดิม ๆ เช่น เมื่อเขาเลิกกับคุณ คุณก็อาจจะคิดว่า อ๋อ เพราะฉันมันแย่ ฉันมันไม่ดี ซึ่งจริง ๆ วงจรความคิดแบบนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะเวลาที่เลิกกับแฟน มันเกิดขึ้นในเวลาที่คุณเจอเรื่องราวร้าย ๆ อื่นๆ ด้วย วิธีแก้ก็คือ เราต้องจับแพตเทิร์นตัวเองให้ได้ว่าเป็นรูปแบบไหน ลองจินตนาการเรื่องนั้นซ้ำอีกครั้ง ครั้งนี้ลองใช้ความคิดอื่นดูบ้าง เช่น เมื่อเขาด่าคุณว่าคุณมันคิดมากเรื่องไม่เป็นเรื่อง แทนที่คุณจะคิดแค่เฉพาะว่าคุณผิด คุณอาจจะลองคิดอย่างอื่นเพิ่มมาด้วย เช่น ทำไมเขาเป็นคนปากเสียจัง หรือ นี่ฉันคิดมากเฉพาะกับเขาหรือกับเพื่อนด้วยเนี่ย จะสังเกตได้ว่า แนวคิดนี้ไม่ได้แนะนำให้เราหนีจากวงจรไปเลย หรือทำตัวโลกสวยอะไร แต่กลับแนะนำให้เราตัดจากวงจรด้วยเรื่องอะไรก็ได้ ซึ่งมีเสี้ยวส่วนของความจริงประกอบอยู่ เป้าหมายก็คือให้วงจรเดิมถูกตัดออกไปบ้างก็พอ (เพราะหลายครั้งมันยากที่เราจะคิดเรื่อง positive ในเวลาที่มัน negative มาก ๆ) พอเราเริ่มคุ้นชินกับวิธีนี้แล้ว เราก็อาจจะเริ่มแทรกความคิด positive เข้าไปด้วย เช่น การที่เขาว่าฉันแบบนี้ มันก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้เหมือนกันนะว่า การกังวลเรื่องคนอื่นมากเกินไป ก็อาจจะทำให้เขารู้สึกไม่ดีได้ เป็นต้น 4.การที่ผู้ชายได้ร่วมรักก็จะทำให้สารเคมีที่ชื่อ Dopamine และ Oxytocin ในสมองหลั่งออกมา Dopamine นี่เป็นสารแห่งความสุข (เป็นสารเดียวกับที่ทำให้เรามีความสุขตอนเสพยา) ส่วน Oxytocin ก็ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับคู่มากขึ้น เพราะฉะนั้นยิ่งมี Sex บ่อย ก็จะยิ่งผูกพันและติดคู่มากกว่าเดิม 5.เนื่องจาก Oxytocin จะหลั่งจากการสัมผัสร่างกายมาก ๆและการจ้องตากัน ธรรมชาติจึงวิวัฒนาการให้เราสามารถมีเซ็กส์จากท่ามิชชันนารี (หน้าชนหน้า) ได้ นอกจากลิงโบโนโบแล้วก็ไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดไหนทำท่านี้ได้อีกแล้ว เนื่องจากท่านี้เป็นท่าที่ทำให้ร่างกายของเราสัมผัสกันได้มากกว่าท่าเข้าจากข้างหลัง แถมยังมองตากันได้ด้วย แต่ข้อจำกัดของท่านี้อยู่ตรงที่ถ้าอวัยวะเพศไม่ยาวพอเราก็จะไม่สามารถใช้ท่านี้ได้ ธรรมชาติจึงประทานที่ยาวขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้เราสามารถมีเซ็กส์ท่ามิชชันนารีได้ง่ายกว่าเดิม นอกจากนั้น ยังมีคนเสนอทฤษฎีอีกว่าการที่มนุษย์ผู้ชายมีอวัยวะเพศที่ยาวนั้น จะไปกระตุ้นให้ผู้หญิงถึงจุดสุดยอดได้ง่ายขึ้น และทำให้ผู้หญิงรู้สึกดีและยิ่งอยากอยู่กับผู้ชายมากขึ้นไปอีก 6.เราอาจจะเจอปัญหาว่าแฟนไม่ว่าจะคนไหน ก็มักจะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรามากเกินไป หรืออาจจะรู้สึกว่าแฟนเป็นคนเจ้าอารมณ์ ร้องไห้ง่ายเกินเหตุ แต่จริง ๆ คือ เราเองที่มีปัญหา ชอบสร้างกำแพงไม่ให้คนอื่นเข้ามา หรือเราเองที่มีปัญหาดีลกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ จึงไม่ต้องการรับความรู้สึกของคนอื่น เพราะมัน “มากเกินไป” ถ้าเรามีบุคลิกลักษณะนี้ก็เป็นไปได้ว่าตอนเด็ก ๆ เราอาจจะถูกเลี้ยงมาด้วยความห่างเหินทางความรู้สึก จนกลายเป็นว่าเรามีลักษณะทางความสัมพันธ์แบบที่เรียกว่า Avoidant 7.เราอาจจะเจอปัญหาว่าแฟนไม่ว่าจะคนไหน ก็ดูจะเฉยชา ไม่สนใจเรา ดูเหมือนจะไม่ค่อยรักเราเท่าไหร่ แต่จริงๆ อาจจะเกิดจากการที่เราเองเรียกร้องต้องการความรัก ความมั่นใจจากคนอื่นมากเกินไปก็ได้ ถ้าเรามีบุคลิกลักษณะนี้ ก็เป็นไปได้ว่าเราอาจจะถูกเลี้ยงมาโดยผู้ปกครองที่ไม่ค่อยมีความมั่นคงเท่าไหร่ บางครั้งเขาก็สามารถดูแลความรู้สึกเราได้ แต่บางครั้งเขาก็อาจจะเรียกร้องการดูแลจากเรา ซึ่งทำให้เรามีลักษณะทางความสัมพันธ์แบบที่เรียกว่า Anxious 8.ถ้าถูกเลี้ยงมาโดยผู้ปกครองที่มีความมั่นคงทางจิตใจ สามารถดูแลอารมณ์ความรู้สึกของเด็กได้อย่างเต็มที่ เด็กคนนั้นก็จะเติบโตออกมาเป็นคนที่มั่นคงและสามารถดูแลอารมณ์ความรู้สึกของคู่รักได้เช่นกัน ลักษณะความสัมพันธ์แบบนี้เรียกว่า Secure 9.เป็นสิ่งที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว ผู้ชายชอบผู้หญิงเอ๊าะๆ แต่ผู้หญิงก็มักจะชอบผู้ชายที่อายุมากกว่าตัวเองแต่สิ่งที่น่าถามคือ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ สาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า วิวัฒนาการทำให้ผู้หญิงและผู้ชายมีกลยุทธ์ในการเลือกคู่ที่แตกต่างกัน ผู้หญิงจะมองที่ทรัพยากรของผู้ชายเป็นหลัก เพราะในสมัยก่อนอาหารไม่ได้หาง่ายเหมือนปัจจุบันพวกเธอจึงต้องหาผู้ชายที่สามารถดูแล หาข้าวหาปลามาเลี้ยงเธอและลูกได้ (“อยากได้คนที่ดูแลเราได้” ของผู้หญิง ไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล) ในขณะที่ผู้ชายสามารถเข้าป่าล่าสัตว์ได้เองแบบไม่ต้องพึ่งใคร แต่สิ่งที่เขาต้องการจากผู้หญิงคือทายาทที่มารับสืบทอด DNA ของเขาต่อไป พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับความฟิตของผู้หญิงมาก เนื่องจากมันสำคัญต่อการตั้งครรภ์ ซึ่งผู้หญิงยิ่งอายุมาก ความสามารถในการตั้งครรภ์ก็ยิ่งต่ำลง ผู้ชายจึงชอบเลือกผู้หญิงเอ๊าะๆ กันมากกว่า 10.สิ่งที่สถิติเสนอเป็นเรื่องของคนหมู่มาก แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นเรื่องแปลกไม่น้อยที่คนบางคนกลับเลือกในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับทฤษฎีวิวัฒนาการ เพราะไม่ว่าจะสัตว์ตัวไหนในโลก มันก็มักจะไม่หาคู่ที่ลดโอกาสขยายพันธุ์ของตัวเอง สัตว์ทุกตัวต่างก็มุ่งหาคู่ที่ดีที่สุด พร้อมที่สุด เพื่อให้ลูกของพวกมันได้รับยีนที่แข็งแรงและสามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไป แต่มนุษย์กลับไม่เป็นไปตามกฎนั้น 11.ระบบของการตกหลุมรัก หลัก ๆ แล้วมีการทํางานของสารเคมีใน สมองอยู่ 3 ตัว คือ 1. Dopamine เป็นเหมือนสารสร้างความสุข ทําให้เราจดจ่อ รอคอย และพยายามเข้าใกล้คนรัก ไม่ต่างอะไรจากคนที่ติดยาเสพติด 2. Norepinephrine (หรือ Noradrenaline คือตัวเดียวกัน) สร้างมาจาก Dopamine อีกทีหนึ่ง เป็นตัวที่ทําให้เราจําเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ เกี่ยว กับคนรักของเราได้ เพราะมันทําหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างความจําใหม่และยังทำให้เราอิ่มทิพย์ ไม่อยากกินข้าว ตื่นเต้น หลับไม่ลง เวลาที่ตกหลุมรักอีกด้วย 3.Serotonin เป็นสารเคมีที่จะลดลงเวลาที่เราตกหลุมรัก ซึ่งนักวิจัย พบว่าคนที่ป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ําทํา ชอบทําอะไรซ้ำๆ) ก็มี Serotonin ในสมองลดลงเช่นกัน จึงเป็นตัวอธิบายว่าทําไมเวลาที่เราตกหลุมรัก เราถึง คิดย้ำทำแต่เรื่องคนรักซ้ำไปซ้ำมา คิดเรื่องอื่นไม่ได้สักที 12.ส่วนระบบความใคร่ สารเคมีหลักในระบบนี้ก็คือ Testosterone ซึ่ง หลาย ๆ คนทราบว่าคือฮอร์โมนเพศชาย เพราะถูกสร้างมาจากอัณฑะผู้ชายเยอะ และทําให้คนแสดงลักษณะและพฤติกรรมเพศชายออกมา เช่น มีหนวด มีกล้าม มีความก้าวร้าว แต่จริงๆ แล้วในผู้หญิงเองก็ผลิต Testosterone ได้ เช่นกัน เพียงแต่ผู้หญิงมีฮอร์โมน Estrogen (ซึ่งสร้างให้เกิดลักษณะของ ความเป็นผู้หญิง) ออกมาด้วย ซึ่ง Estrogen มีฤทธิ์ต่อต้าน Testosterone ผู้หญิงก็เลยไม่ดูกระเหี้ยนกระหือรือเรื่องเพศ ไม่มีหนวด ไม่มีกล้าม เหมือนผู้ชาย 13.Oxytocin เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่หลั่งออกมาจากต่อมใต้สมองส่วนหลัง ฤทธิ์ของมันเป็นที่รู้จักกันดีในวงการแพทย์มานานแล้ว คือทําให้มดลูก บีบตัวและน้ํานมแม่ไหล (เลยถูกนําไปใช้เป็นยาเร่งคลอดชนิดหนึ่ง) แต่ช่วง หลายปีมานี้พอนักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษา Oxytocin มากขึ้น พวกเขาก็เชื่อ ว่าฮอร์โมน Oxytocin นี้มีส่วนสําคัญต่อพฤติกรรมการจับคู่แบบ “ผัวเดียว เมียเดียว” ในคนด้วย 14.กลยุทธ์ในการขยายพันธุ์ 2 แบบ คือแบบเพลย์บอย เป็นสายตอดสาวไป เรื่อยๆ เน้นจํานวน แต่ไม่เน้นคุณภาพ (ของลูก) ส่วนกลยุทธ์อีกแบบคือแบบ พ่อบ้าน ที่ไม่เน้นจํานวน (สาวๆ) แต่เน้นคุณภาพ (ของลูก) 15.การดูแลลูกให้รอดจําเป็นต้องมีพ่อและ แม่อยู่ด้วยกัน เพื่อหาอาหารมาให้ลูกอย่างเพียงพอ การใช้กลยุทธ์เพลย์บอย อาจจะทําให้ผู้ชายคนนั้นมีลูกได้มาก แต่ลูกกลับไม่ค่อยรอด ส่วนกลยุทธ์ พ่อบ้านนั้นมีลูกได้น้อย แต่โอกาสรอดของลูกมากกว่า ทั้งสองกลยุทธ์ต่างก็ประสบความสําเร็จมาด้วยกันทั้งคู่ ทําให้ยืนทั้งสองแบบถูกถ่ายทอดมาจนถึงรุ่นเรา (แต่จากการที่เปอร์เซ็นต์ของชายพ่อบ้านเยอะกว่าหนุ่ม เพลย์บอย ก็น่าจะแปลว่ากลยุทธ์พ่อบ้านเหนือกว่ากลยุทธ์เพลย์บอยอยู่หน่อยนึง) 16.เพราะเราเป็นสัตว์ที่พ่อเข้ามาช่วยเลี้ยงดูลูกด้วย ต้องดูแลนานหลายปี หากต้องไปเลี้ยงลูกที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆของตัวเองขึ้นมาละก็ ถือเป็นความเสียหายสูงสุดในทางวิวัฒนาการเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจะดึงมากที่สุดก็ตอนที่หญิงคนรักไปมีอะไรกับคนอื่น เรียกว่าถ้าเห็นกันคาตาในจังหวะนั้นฆ่าได้ก็ฆ่าเลยทีเดียว (ซึ่งสมัยก่อนเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ขนาดว่า ช่วงก่อนปี 1970 สามีที่ฆ่าแฟนที่ไปมีอะไรกับชายอื่น ในอเมริกาถือว่าไม่มีความผิดอะไรด้วยซ้ำ) 17.ส่วนผู้หญิงมักจะดึงคนรักถ้านอกใจไปมีเซ็กส์กับคนอื่นไม่เท่าผู้ชาย หลายคนยอมให้แฟนไปเที่ยวสถานบริการได้ด้วยซ้ำ แต่มีข้อแม้นะว่า ห้ามเลี้ยงเด็ดขาด! สิ่งที่ผู้หญิงทนไม่ได้มากที่สุดคือ การที่ผู้ชายไปสนิทกุ๊กกิ๊กเปย์ปูนเปย์นี่ให้หญิงอื่น ถ้าภาพที่ผู้ชายเห็นแล้วขึ้นสุด ๆ คือ ภาพแฟนตัวเองมีอะไรกับคนอื่น ภาพที่ผู้หญิงเห็นแล้วขึ้นสุด ๆ คงเป็นภาพแฟนตัวเองกำลังป้อนข้าวให้สาวอื่น คุยกันกะหนุงกะหนิงนั่นแหละ สาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ต่างจากฝ่ายชายเท่าไหร่ เนื่องจากการเลี้ยงลูกจำเป็นต้องอาศัยผู้ชายในการช่วยเลี้ยง ซึ่งผู้ชายจะช่วยเลี้ยงลูกได้อย่างแรกเลยเขาต้องติดเธอก่อน ก็แปลว่าเขาจะไม่อยู่ช่วยเธอเลี้ยงลูกโดยปริยาย ความรักอธิบายทุกสิ่งอย่างและให้ความหมายกับชีวิต ความรักเป็นตัวแปรที่เรามองข้ามเนิ่นนานเกินไป บางทีเราอาจหวาดกลัวความรัก เพราะมันเป็นพลังงานเดียวในจักรวาลที่มวลมนุษย์ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา นี่คือเนื้อความบางส่วนในจดหมายของไอน์สไตน์ถึงลูกสาวของเขา ซึ่งครีเอเตอร์เห็นด้วยทุกประการ แม้ว่ามันจะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม สำหรับคนที่อ่านสนุกจริงๆจะต้องเป็นคนที่เรียนหรือทำงานสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ/ชีววิทยา ถึงจะอินกับเนื้อหาได้ดีกว่า และเนื้อหาก็ได้ปรับแต่งให้อ่านง่ายจริงๆแล้วครับ ถ้าอ่านแล้วยังอึดอัดกับศัพท์เฉพาะทาง...ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีววิทยาที่เราเรียกกันอย่างนั้น เครดิตภาพ ภาพปก โดย Rudy Kirchner จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย Git Stephen Gitau จาก pexels.com ภาพที่ 4 โดย Trinity Kubassek จาก pexels.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ MOVE HEAVEN AND EARTH รีวิวหนังสือ ไต่ระดับลับสมอง ด้วยคำถามเชิงตรรกะ รีวิวหนังสือ ULTIMATE SKILLS ทักษะจำเป็นแห่งอนาคต เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !