ก็คงจะจริงอย่างที่ใครต่อใครต่างบอกกันว่า เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงยุคไหนก็ต้องอยากดูดีเป็นธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการคิดค้นเครื่องประทินผิวมาตั้งแต่อดีตกาล แต่สวยเพียงใบหน้าอย่างเดียวคงไม่พอ คงต้องหาวิธีทำให้หุ่นเซี๊ยะตามค่านิยมในแต่ละยุค ถึงแม้ในบางช่วงเวลาค่านิยมเรื่องรูปร่างของผู้หญิงจะออกไปแนวหุ่นเฟมินีน มีน้ำมีนวล อวบนิด ๆ ให้พอดูมีเนื้อมีหนัง แต่ในประวัติศาสตร์ก็ไม่มีใครยอมปล่อยตัวเองให้อ้วนฉุแล้วมาบอกว่าฉันหุ่นดี สมัยนี้มีวิธีลดน้ำหนักมากมาย มีเครื่องออกกำลังกายที่ทันสมัย เทคนิกการรับประทานอาหารจากการคำนวณปริมาณแคลอรี่ หรือจะเข้าคลินิกไปใช้วิทยาการทางการแพทย์ในการกระชับสัดส่วนกันก็ตามที แต่บทความนี้เราจะพาไปดูกันว่า ผู้หญิงสมัยก่อนเขามีวิธีดูแลรูปร่างกันอย่างไรบ้างเริ่มจากสมัยที่ยังไม่มียาลดความอ้วนกันก่อน อย่างในสมัยวิกตอเรียนของอังกฤษ ผู้หญิงยุคนั้นนิยมแต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่า จึงต้องดูแลรูปร่างเพื่อให้สวมใส่เสื้อผ้าได้ดูสวยงาม โดยเฉพาะการสวมกระโปรงทรงสุ่ม (Crinolines) ซึ่งมีขนาดใหญ่มากอยู่แล้ว หากยังปล่อยตัวให้อ้วนฉุก็ยิ่งทำให้ดูตัวใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก ประกอบกับยุคนั้นผลพวงจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้วิทยาการทางการแพทย์เริ่มเข้าถึงคนทั่วไป ปัญหาอยู่ที่ว่าคนยุควิกตอเรียนยังคงมีความสุขกับการกิน เพราะอาหารคือเครื่องแสดงความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมวิธีลดความอ้วนโดยไม่ต้องหยุดกินของหญิงยุควิกตอเรียนจึงต้องพึ่งพาวิทยาการทางการแพทย์ โดยการรับประทานแคปซูลพยาธิตัวตืด (Tapeworm Diet) เรื่องนี้มีบันทึกเอาไว้ว่าแพทย์จะบรรจุไข่พยาธิตัวตืดลงในแคปซูล แล้วให้หญิงสาวกลืนลงไปพร้อมกับมื้ออาหาร ไข่พยาธิจะเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อน แล้วแย่งกินอาหารที่หญิงสาวเหล่านั้นสวาปามเข้าไปอย่างไม่หยุดปาก เรียกว่าเป็นการกระจายความอ้วนไปให้พยาธิตัวตืดนั่นเอง แล้วพวกเธอก็ได้ผอมสมใจ ตัวอ่อนพยาธิชอนไชอยู่เต็มลำไส้จนเกิดภาวะขาดสารอาหาร มิหนำซ้ำยังชอนไชขึ้นไปทำลายระบบประสาท ดวงตา และกระดูกสันหลัง ก็เพราะคงลืมคิดไปว่ายุคนั้นยังไม่มียาถ่ายพยาธิ สุดท้ายแล้วแคปซูลมรณะนี้ก็ต้องถูกยกเลิกไปเพราะก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตวิธีของหญิงยุควิกตอเรียนอาจจะดูยากเย็นและอันตรายเกินไป เราลองย้อนไปดูวิธีลดความอ้วนของผู้หญิงในยุคมืดหรือยุคกลางของยุโรปกันดูบ้าง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในยุคมืดที่ความเชื่อทางศาสนาครอบงำผู้คน แม้กระทั่งเรื่องความอ้วนยังถูกทำให้กลายเป็นเรื่องบาปบุญคุณโทษ หญิงสาวยุคนั้นเชื่อว่าการที่เรารู้สึกหิวโหยต้องหาอะไรเข้าปากตลอดเวลา จนทำให้รูปร่างอ้วนท้วนผิดมนุษย์นั่นเป็นเพราะเสียงเรียกร้องจากปีศาจ เหมือนอดัมกับอีฟที่ถูกล่อลวงให้กินแอปเปิลในสวนอีเดนนั่นแหละ ดังนั้นเพื่อจะป้องกันความลุ่มหลงมัวเมาจากเสียงของปีศาจ พวกเธอก็จะต้องท่องบทสวดมนต์และอ่านพระคัมภีร์ไบเบิล เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจล่อลวงให้กินอาหาร นอกจากนี้ยังเชื่อว่าหากอยากผอมให้กินอากาศและแสงแดดทุกมื้อ สุดท้ายก็ผอมจริง ๆ แต่ไม่ใช่ผอมโลกนี้แต่เป็นโลกหน้ามาถึงยุคที่เริ่มใช้สารเคมีและยาลดความอ้วนกันบ้าง ช่วงประมาณศตวรรษที่ 18 มีการใช้สารหนูผสมลงไปในอาหารเพื่อลดความอ้วน โดยเชื่อว่าเมื่อรับประทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะดูดซึมเอาเฉพาะสารอาหารที่จำเป็น แล้วสารหนูจะทำให้สำรอกพวกกากอาหารออกมาทำให้กินเท่าไรก็ไม่อ้วน แต่ผลสุดท้ายก็ต้องหามเข้าโรงหมอไปล้างท้องกันเสียทุกราย ผู้หญิงบางคนยังนิยมใช้ยานอนหลับเพื่อป้องกันไม่ให้ตื่นขึ้นมากินอาหารบ่อย ๆ เพราะเชื่อว่ายิ่งกินน้อยก็จะไม่อ้วน แต่กลับพบผลข้างเคียงคือระบบการทำงานในร่างกายแปรปรวน วงจรการใช้ชีวิตผิดปกติ พวกเธอมักจะตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วนอนไม่หลับเพราะรู้สึกทรมานจากการอดอาหารมาทั้งวันนั่นเองความจริงถ้าเล่าอย่างละเอียด หลายพื้นที่ยังมีวิธีลดน้ำหนักชนิดแปลกประหลาดอีกมายมาย อย่างในสหรัฐอเมริกามีการโฆษณาบุหรี่ลดความอยากอาหาร หรือการนำไวน์องุ่นผสมเครื่องเทศมาใช้อาบน้ำโดยมีกลไกคล้ายการอบซาวน่าเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญ ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นเรื่องปกติที่คนสมัยก่อนจะทำอะไรแผลง ๆ ด้วยความไม่รู้และยังไม่มีเทคโนโลยีอย่างสมัยนี้ ท้ายที่สุดคนยุคเราคงได้แต่นำเรื่องเหล่านั้นมาเป็นบทเรียน เพื่อจะหาวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ง่ายที่สุดคงเป็นการรับประทานอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายและการพักผ่อน ผู้เขียนก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังดูแลรูปร่างด้วยก็แล้วกันเครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Europeana : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 1 โดย British Library : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 2 โดย Europeana : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 3 โดย Birmingham Museums Trust : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 4 โดย Bill Oxford : UNSPLASHข้อมูลประกอบบทความบางส่วน- The Horrifying Legacy of the Victorian Tapeworm Diet : Atlas Obscura