สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาบอกถึง 7 ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในกองทุนรวม ETF ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า The LAWS of WEALTH หรือมีชื่อภาษาไทยว่า มั่งคั่งด้วยกฏแห่งการลงทุน แล้วเจอเนื้อหาบทนึงที่เกี่ยวกับ ETF จนผมได้คิดตามแล้ววิเคราะห์ บวกกับประสบการณ์ การศึกษา และการสังเกตการณ์ของตัวเอง จนออกมาเป็นบทความนี้ จะมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร ไปอ่านกันเลย หนังสือ THE LAWS of WEALTH หรือมั่งคั่งด้วยกฏการลงทุน เป็นหนังสือที่จะพูดถึงการลงทุนเชิงพฤติกรรม ที่ศึกษาหลักการทางการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับจิตวิทยาและพฤติกรรมของมนุษย์ อย่างเช่น ศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนักลงทุนคือตัวของนักลงทุนเอง ถ้าตื่นเต้นกับการลงทุนแสดงว่าเป็นความคิดที่ไม่ดี อันตรายของการปลอดภัยไว้ก่อน (ETF) เป็นต้น *คำเตือน: หุ้นหรือ ETF ที่กล่าวไปในบทความเป็นแค่การยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน ไม่ได้มีเจตนา ชี้แนะว่าควรลงทุนตัวนั้น ตัวนี้ ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนทำการลงทุน 7 ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวม ETF 1. กระจายความเสี่ยง สมมติว่าเราลงทุนใน ETF ที่ในลงทุนในดัชนี S&P 500 แปลว่าเราได้ลงทุนไปใน 500 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในสหรัฐ ยิ่งลงทุนเยอะ ๆ หลาย ๆ บริษัท โอกาสขาดทุนต่ำ อีกทั้งยังกระจายไปหลากหลายอุตสาหกรรม ไว้ว่าจะเป็น เทคโนโลยี พลังงาน การเงิน และอื่น ๆ 2. ค่าธรรมเนียมถูก กองทุนรวม ETF เป็นการบริหารการเงิน การลงทุนแบบเชิงรับ หมายถึงการลงทุนที่ล้อไปกับดัชนีหรืออุตสาหกรรมใด อุตสาหกรรมหนึ่ง ไม่มีค่าบริหารในส่วนของผู้จัดการสินทรัพท์ มีแค่ค่าธรรมเนียมกองทุนไม่ถึง 1% ยิ่งกองทุนที่ไม่เจาะจงอุตสาหกรรมมาก อย่าง S&P 500 ค่าธรรมเนียมจะถูก ถูกสุดที่ผมเจอคือ 0.03% ต่อปี ต่างจากกองทุนทั่วไป ที่มีผู้จัดการกองทุน หรือที่เรียกว่า การลงทุนแบบเชิงรุก ที่ผู้จัดการกองทุนพยายามเอาชนะตลาด อย่างเช่น S&P 500 ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 16.59% แต่การลงแบบเชิงรุกต้องการให้ได้มากกว่า 16.59% จึงหันไปลงหุ้นขนาดเล็กและกลาง ซะเป็นส่วนใหญ่ เพื่อที่จะได้ผลตอบแทนที่เยอะ เพราะยิ่งหุ้นเล็ก เวลามันพุ่งแล้วจะพุ่งแรง แต่ผลตอบแทนที่ได้จริงบางกองถึงขั้นติดลบหรือผลตอบแทนน้อยกว่า ทั้งที่จ่ายค่าธรรมเนียมแพงกว่า แพงสุดที่ผมเจอคือเกือบ 2% 3. เหมาะแก่การถือยาว DCA ฝันร้ายของการ DCA คือ DCA ในบริษัทที่ผิด ยิ่งถัว ราคาหุ้นยิ่งลง เมื่อผ่านไปหลายสิบปี มูลค่าก็ลดลงต่ำ แต่การ DCA ใน ETF นั้นโอกาสขาดทุนนั่นต่ำ เพราะถ้าบริษัทที่กำลังลงทุนบริษัทใหน ประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน เทรนด์ของโลก หรือปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดเปลี่ยน ก็ไม่มีผล เพราะการจัดสัดส่วนการลงทุนจัดตามมูลค่าบริษัทและปัจจัยอื่น ๆ บริษัทที่ไม่ดีจะถูกคัดออก 4. ผลตอบแทนใกล้เคียงตลาด ผมขอเปรียบเทียบกับดัชนี S&P 500 และ ETF ที่ลงทุนตามดัชนี S&P 500 ในแง่ของค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ดัชนี S&P 500 ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 16.58% และ VOO ที่ลงตามดัชนี อยู่ที่ 16.59% ก็ถือว่ามีความใกล้เคียงกัน 5. ซื้อขายง่าย เหมือนหุ้นทั่ว ๆ ไป ETF สามารถซื้อได้แบบเรียลไทม์ แล้วยังรู้ราคา ว่าได้ราคาที่เท่าไหร่เหมือนซื้อหุ้น 1 ตัว ส่วนกองทุนทั่วไป ตอนซื้อจะติดสถานะ NAV ซึ่งจะรู้ราคาได้ก็ต่อเมื่อตลาดปิดแล้วหรือเวลาใด เวลาหนึ่ง ตามนโยบายของกองทุนนั้น ๆ 6. มีสินทรัพย์หลากหลายประเภทให้เลือก มี ETF ให้เลือกหลากหลายหรือที่เรียกว่าธีมการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น เน้นลงทุนใน S&P 500 Nasdaq 100 ทอง บิทคอยน์ ตลาดหุ้นทั่วโลก วิทยาการหุ่นยนต์ Healthcare เทคโนโลยีชีวภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา บริการทางสุขภาพ ปัญญาประดิษฐ์ คลาว์ เทคโนโลยีพลังงานสะอาด IoT เซมิคอนดักเตอร์ ประกัน การท่องเที่ยว อวกาศ มีเดีย อาหารและเครื่องดื่ม การขนส่ง เกม เทคโนโลยีอวกาศและการป้องกันประเทศ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ แบรนด์หรู เทคโนโลยีด้านการเงิน พลังงานสะอาด และอื่น ๆ 7. สามารถตรวจสอบได้ ETF สามารถจะตรวจสอบได้ว่าถือหุ้นจำนวนกี่ตัว สัดส่วนเท่าไหร่ มูลค่าที่ลงทุนในแต่ละบริษัทกี่ดอลล่า โดยการเข้าเว็บของ ETF หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ส่วนกองทุนทั่วไปตรวจสอบได้ยาก เพราะผู้จัดการกองทุนจะรายงานว่าถือหุ้นอยู่ในบริษัทใดบ้าง อาจจะไตรมาสละครั้ง ปีครั้ง แล้วแต่นโยบายของกองทุน 7 ข้อเสียของการลงทุนในกองทุนรวม ETF 1. กระจายความเสี่ยงเยอะจนทำให้ผลตอบแทนต่ำ ประโยคที่ว่า High Risk High Return หรือยิ่งเสี่ยงเยอะ ผลตอบแทนยิ่งสูง สมมติว่าเราถือหุ้นแค่ตัวเดียว อย่างเช่น ถ้าถือหุ้นบริษัทนึง เป็นจำนวน 100$ เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี ผลตอบแทนที่ได้คือ 1,166.91% เฉลี่ยปีละ 233.38% คิดเป็นเงิน 1,166.91$ กลับกันถ้าลงใน ETF ที่อ้างอิงดัชนี S&P 500 ด้วยเงินและเวลาที่เท่ากันจะได้ 82.94% เฉลี่ยปีละ 16.59% ซึ่งต่างกันค่อนข้างเยอะ กลับกันลงทุนในหุ้นตัวเดียวถ้าขาดทุน เปอร์เซ็นต์การขาดทุนจะเยอะกว่า 2. กระจายความเสี่ยงบริษัท แต่ไม่ได้กระจายความเสี่ยงอุตสาหกรรม การซื้อ ETF เกี่ยวกับ S&P 500 หมายความว่าคุณจะมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีสัดส่วนมากถึง 35.35% การเงิน 13.23% สินค้าฟุ่มเฟือย 10.58% การสื่อสาร 9.88% สุขภาพ 8.82% อุตสาหกรรม 7.85% สินค้าจำเป็น 5.23% พลังงาน 3.00% สาธารณูปโภค 2.46% วัสดุพื้นฐาน 1.62% ซึ่งหุ้นหลาย ๆ ตัวในกลุ่มการสื่อสารส่วนหนึ่งเคยอยู่ในหมวดหมู่เทคโนโลยีมาก่อน ฉะนั้นหุ้นเทคโนโลยีจะมีอิทธิพลกับพอร์ตค่อนข้างมาก 3. ค่าธรรมเนียมทำให้ผลตอบแทนลดน้อยลง โดยปกติ ETF จะมีค่าธรรมเนียมอยู่สองอย่าง อย่างแรกค่าธรรมเนียมการซื้อขาย อย่างที่สองค่าธรรมเนียมกองทุน ผมขอยกตัวอย่างเฉพาะค่าธรรมเนียม ETF กับหุ้นที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี ลงทุน 10,000$ ลงทุนเป็นเวลา 30 ปี ได้ผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียม 7% ต่อปี ผลออกมาคือ ETF (ที่มาค่าธรรมเนียม 0.03%) ได้เงิน 75,549$ และหุ้น (ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี) ได้เงิน 76,122.5$ เท่ากับว่าค่าธรรมเนียมที่จ่ายไปเยอะถึง 575$ 4. ไม่มีโอกาสชนะตลาด สมมุติว่าปีที่แล้ว ดัชนี S&P 500 พุ่งไป 10% จากต้นปี การลงทุนใน ETF ที่อ้างอิงดัชนี S&P 500 ก็จะได้ใกล้เคียงกัน แต่ถ้าซื้อในหุ้นรายตัวอาจได้กำไรอยู่ที่ 30% บางตัว 100%++ ก็มี ถ้าซื้อหุ้นรายตัวโอกาสชนะตลาดมีความเป็นไปได้ 5. บาง ETF ลงทุนแค่อุตสาหกรรมเดียว บาง ETF อย่างเช่นที่ลงกับเกี่ยวกับยา ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นโยบายของประธานาธิปดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลต่ออุตสาหกรรมยาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาต้องการที่จะควบคุมราคายา ผมเลยลองไปดูผลตอบแทนจาก ETF ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยา 1 ปีย้อนหลัง มา 3 กอง ปรากฏว่า กองแรก -10% กองที่สอง -2% และกองที่สาม +4% เมื่อไม่มีอุตสาหกรรมอื่นมาถ่วงสมดุล มีโอกาสที่ผลตอบแทนจะติดลบ 6. ไม่มีสิทธิผู้ถือหุ้น เวลาที่บริษัทมีการประชุมผู้ถือหุ้น มักจะมีการให้โหวตโครงการของบริษัท ซื้อหุ้นแบบรายตัวมีสิทธิ์โหวต ส่วนกองทุน ETF ไม่มีสิทธิ์ใด ๆ 7. บางกองสภาพคล่องต่ำ โดยเฉพาะกองที่มีความเฉพาะเจาะจงมาก ๆ สมมุติว่า ETF ในกลุ่มบริษัทที่ไม่เป็นที่นิยม ซึ่งมี Bid (เสนอซื้อ) Offer (เสนอ) สูงสุด 50,000 หุ้นต่อหนึ่งราคา แต่เราต้องการซื้อหรือขาย 200,000 หุ้น ฉะนั้นเราต้องแบ่งซื้อหรือขายครั้ง 50,000 หุ้น เป็นจำนวน 4 ครั้ง ทำให้ราคา 4 ครั้งที่ซื้อหรือขายไม่เท่ากัน ทำให้เสียโอกาส แต่ของหุ้นนอก การดู Bid (เสนอซื้อ) Offer (เสนอ) ที่มีทั้ง จำนวนหุ้นและราคาที่เสนอซื้อและเสนอขาย นั้นการดูได้ไม่ฟรี จะมีให้ดูแค่ จำนวนหุ้นและราคาที่ดีที่สุดขณะนั้น ไม่เหมือนกับแอป Streaming ของไทย ที่ดูฟรีได้ทั้งหมด ก็จบไปแล้วครับกับ 7 ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในกองทุนรวม ETF โดยส่วนตัวผมชอบในการลงทุนใน ETF มากกว่าถือหุ้นส่วนตัว เพราะไม่ต้องศึกษาอะไรเยอะแยะ DCA ระยะยาวได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลในอนาคต ว่าถ้าเกิดการเปลี่ยนเทรนด์ หุ้นที่เราถือจะส่งผลกระทบไหม จะทำการปรับพอร์ตอย่างไรให้เท่าทันอนาคต เพราะมีการปรับพอร์ตอัตโนมัติให้เราอยู่แล้ว หวังว่าสิ่งที่ผมบอกไปในวันนี้ จะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านทุกคน ภาพปก: The Seed จาก Canva ภาพประกอบบทความที่ 1: PabitraKaity จาก Pixabay ภาพประกอบบทความที่ 2: TheInvestorPost จาก Pixabay ภาพประกอบบทความที่ 3: kreatikar จาก Pixabay ภาพประกอบบทความที่ 4: kreatikar จาก Pixabay เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !