2 โบรกฯ อัพเดท PTG เรื่องต้องรู้! ก่อนลงทุน
บล.ดาโอ ส่องหุ้น PTG คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 18.50 บาท อิง PER 19x หรือเทียบเท่า -0.5SD ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิ Q2/66E ที่ 221 ล้านบาท (-63% YoY, -20% QoQ)
ค่าใช้จ่าย SG&A outrun กำไรขั้นต้นของธุรกิจ Oil และ Non-oil โดยปริมาณขายน้ำมันคาดอยู่ที่ 1.5 พันล้านลิตร (+12% YoY, +4% QoQ) อย่างไรก็ตามค่าการตลาดคาดที่ 1.65 บาท/ลิตร (-22% YoY, -4% QoQ) จากความผันผวนของราคาน้ำมันและเป็นขาลง ทำให้กำไรขั้นต้นประเมินที่ 2.5 พันล้านบาท (-12%YoY, ทรงตัว QoQ) ในขณะที่กำไรขั้นต้นธุรกิจ Non-oil ยังโตได้มาที่ 700 ล้านบาท (+28% YoY,+10% QoQ) จากการขยายสาขาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องของ LPG และพันธุ์ไทย อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น (+15% YoY, +5% QoQ) กดดันผลประกอบการโดยรวม
ทั้งนี้ เบื้องต้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566E ที่ 1.6 พันล้านบาท (+70% YoY) แนวโน้ม 2H66E ฟื้นตัว HoH จากปริมาณการขายที่คาดยังคงโมเมมตั้มเพิ่มขึ้น >10% YoY และค่าการตลาดที่กลับไประดับ 1.9 บาท/ลิตร risk (อิงข้อมูลในอดีตแม้ค่าการตลาดแกว่งตัวแต่เฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ในระดับ 1.8 บาท/ลิตร ทั้งนี้ 1H66E คาดค่าการตลาดอยู่ระดับ 1.7 บาท/ลิตร และ 2H23E ค่าการตลาดระดับ 1.9 บาท/ลิตร ยังมีความเป็นไปได้ เบื้องต้นรอประเมินสถานการณ์ใน Q3/66E) โดยการไม่ต่อนโยบายลดภาษีสรรพสามิตคาดไม่กระทบราคาค้าปลีกจากความสามารถในการช่วยเหลือของกองทุนน้ำมัน
ราคาหุ้น underperform SET กว่า -23% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา คาดมาจากความผันผวนของค่าการตลาด และอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของรัฐบาลใหม่ต่อวิธีการดูแลราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันเทรดอยู่ใกล้ -1.5SD ซึ่งเป็นกรอบที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี เชื่อว่าราคาหุ้น price in ปัจจัยลบไปมากแล้ว ในขณะที่ทิศทางราคาน้ำมันที่มีเสถียรภาพมากขึ้นและสถานะกองทุนน้ำมันที่ดีขึ้นจะลดความกังวลต่อความผันผวนของค่าการตลาดได้ในอนาคต และนำไปสู่การกลับมา outperform ของหุ้น
ด้าน บล.กสิกรไทย ปรับลดประมาณการกำไรปี 2566-68 หุ้น "PTG" ลง 25-44% โดยปรับลดประมาณการกำไรปี 2566/67/68 ลง 44%/31%/25% เป็น 952 ลบ./1.33 พันลบ,/1.61 พันลบ. เพื่อสะท้อน 1) การปรับลดสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันขายปลีกลง 0.10-0.20 บาท/ลิตร เป็น 1.7 บาท/ลิตร ในแต่ละปีสอดคล้องกับการปรับเพิ่มประมาณการราคาน้ำมันดิบครั้งล่าสุดของฝ่ายวิจัย 2) การลดการขยายสาขาของร้านกาแฟพันไทยลงสำหรับปี 2566-67 จาก 600 สาขา เป็น 400 สาขาในแต่ละปี 3) การปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของร้านกาแฟพ้นธุ์ไทยลง 10 pps แล: 4) การปรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A)/ลิตร ในกรอบ -1% เป็น +2% ทั้งนี้ ประมาณการกำไรใหม่ของฝ่ายวิจัยคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 23%
คาดกำไรไตรมาส 2/2566 จะทำให้ตลาดผิดหวัง ฝ่ายวิจัยคาคว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/2566 ของ PTG จะอยู่ที่ 130 ลบ. (กำไรต่อหุ้น: 0.08 บาท) ลดลง 78% YoY และ 53% QoQ จาก GPM/ลิตร ที่ลดลง แม้ว่าบริษัทฯ จะทำสถิติปริมาณการขายสูงสดใหม่ ฝ่ายวิจัยคาคว่ากำไรดังกล่าวจะทำให้ตลาดผิดหวัง เนื่องจาก GPM/ลิตร ลดลงประมาณ 0.1 บาท/ลิตร ซึ่งแตกต่างจากค่าการตลาดน้ำมันขายปลีกของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ที่เพิ่มขึ้น 0.4 บาท/ลิตร ขณะที่ปริมาณการขายยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ 12% YoY และ 4% QoQ เป็น 1.533 พันล้านลิตร ซึ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 ดังนั้น ด้วยประมาณการนี้ กำไรสุทธิในครึ่งแรกของปี 2566 น่าจะอยู่ที่ 408 ลบ. ลดลง 46% YOY คิดเป็น 43% ของประมาณการทั้งปีของฝ่ายวิจัย
ผลกระทบจากไม่ต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิต ฝ่ายวิจัยคาคว่ามีความเป็นไปได้ 3 กรณีในการหาแหล่งเงินเพื่อใช้ในการบริหารราคาน้ำมันหลังการยกเลิกมาตรการลดภาษีสรรพสามิต โดยสามารถใช้เงินจัดเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเกิน และ/หรือการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล และ/หรือการปรับค่าการตลาดน้ำมันขายปลีก ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยเชื่อว่ากรณีที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการเปลี่ยนจากการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการอุดหนุน โดยจะตรึ่งราคาน้ำมันขายปลีกและค่า การตลาดไว้ใกล้เคยงเดิม ซึ่งกรณีนี้สามารถทำได้เนื่องจากผลขาดดุลของกองทุมน้ำมันเชื้อเพลิง (เฉพาะบัญชีน้ำมัน) ได้ลดลงอย่างมากเหลือเพียง 6.6 พันลบ. ดังนั้น หากมองว่รัฐบาลชุตไหม่จะเพิ่มสถานะการขาคดุลของกองทุนน้ำมันไปสู่ระดับต้นปีนี้ที่ 7.72 หมื่นลบ. ภายในปี 2566 รัฐจะมีวงเงินช่วยเหลือ 6.5 บาท/ลิตร โดยไม่สร้างผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องรายอื่น
ลดคำแนะนำเป็น "ถือ" และลดราคาเป้านมายกลางปี 2567 เป็น 11.5 บาท เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการกำไรและการลดตัวคูณมูลค่าหุ้นที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่ไม่เอื้ออำนวยในระยะสั้น ฝ่ายวิจัยจึงลดราคาเป้าหมายกลางปี 2567 อิงด้วยวิธี SOTP ของ PTG ลงจาก 16.2 บาท เป็น 11.5 บาท ซึ่งคิดเป็น PBV ปี 2567-68 ที่เท่า ทั้งนี้ ด้วยความคาดหวังของฝ่ายวิจัยที่ว่าราคาน้ำมันดิบและน้ำมันดีเซลที่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนิโญที่อาจทำให้เกิดอุปสงค์ส่วนเพื่มสำหรับน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำจากกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า รวมถึงผลกระทมที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตที่จะสิ้นสุดลง ทั้งนี้คาคว่าผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันจะต้องรับมือกับแรงกดดันต่อค่าการตลาดอีกรอบในช่วง 6-9 เดือนข้างหน้า
ดังนั้นจึงปรับลดคำแนะนำสำหรับ PTG จาก "ซื้อ" เป็น "ถือ" ระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาระดับนี้ไม่จังหวะขายหุ้น เนื่องจากที่ PBV ที่ 2 เท่า เป็นจุดที่ซื้อขายต่ำสุดในช่วงการระบาดของโควิด-19 และปลายปี 2561 ซึ่งคิดเป็นราคาหุ้น PTG ที่ประมาณ 10.0 บาท โดยมี Upside ที่สำคัญ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ