สิ่งที่เข้าใจยากที่สุดของธรรมชาติ คือจักรวาลและจิตของมนุษย์ ดูเหมือนว่าทั้งสองสิ่งจะมาบรรจบกันแทบไม่ได้เลย แต่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดก็มีแนวโน้มว่าจักรวาลกับจิตมีความสัมพันธ์กันอย่างไม่น่าเชื่อ ทันตแพทย์สม สุจีรา จะมาไขคำตอบในประเด็นนี้โดยมีเรื่องของหลักวิทยาศาสตร์ให้เหตุผลรองรับ บางประเด็นอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจเลยทีเดียว เนื้อหาภายในเล่มนิพพานความว่างความลับของเวลาสัมพัทธภาพกับควอนตัมจักรวาลความไร้ระเบียบแรงโน้มถ่วงหลุมดำ9 มิติ ความรู้ความประทับใจที่ได้จากมุมมองครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่าสภาวะนิพพาน คือ สภาวะที่เป็นกลาง ว่างจากกิเลส ตัณหา เวทนา ไม่ว่าด้านบวกหรือลบเป็นธรรมชาติที่ไม่มีการดับอีกต่อไป เพราะไม่มีสิ่งใดเกิดมาให้ดับ ปราศจากอารมณ์ที่คอยมาทำให้กระวนกระวายใจ สภาวะนิพพานไม่ใช่อาการทางจิต ความสุขในระดับนี้ต่างจากความสุขที่ได้จากร่างกาย จิตใจ หรือสมอง ซึ่งเคยได้รับสัมผัสมา เพราะถ้าเกิดจากจิต ความเป็นตัวกู ของกู ที่เกิดจากสัญญาขันธ์จะยังคงอยู่ จึงไม่ใช่นิพพาน และถ้าเกิดจากสมองก็จะเป็นเพียงความสุขจากการนึกคิดหรือจากฮอร์โมน ได้เรียนรู้ว่าชีวิตคนเราก็เหมือนธรรมชาติเล่นตลกแบบตบหัวแล้วลูบหลัง ความทุกข์ที่เจอในชีวิตก็เหมือนถูกตบหัว พอหายเจ็บก็มีความสุขมาหลอกล่อราวกับลูบหลัง พอเราชินชากับความสุขนั้นก็ถูกตบหัวใหม่อีกรอบ เพื่อเริ่มกระบวนการสร้างความสุขใหม่อีกครั้ง ถ้ามองแบบกายภาพคนเราถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้โตขึ้นมาอาการทางจิตแน่นอน แต่หารู้ไม่ว่าเราทุกคนก็เจอแบบนี้เหมือนกันหมดจากความโหดร้ายของธรรมชาติด้วยหลักอนิจจัง ได้เรียนรู้ว่าธรรมชาติต้องการให้เราสืบเผ่าพันธุ์ สร้างกาเมและโลภะให้เป็นกิเลสที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ เพื่อทำให้มนุษย์ตกไปตามเกมที่ธรรมชาติต้องการ จนกว่าจะเกิดปัญญาอริยมรรคเพื่อล่วงพ้นแห่งทุกข์ได้เท่านั้น ได้เรียนรู้ว่าสภาวะนิพพานพ้นจากกฎแห่งไตรลักษณ์ ทำให้ไม่ต้องสุขทุกข์แบบปลอมๆอีกต่อไป เป็นสุขอย่างแท้จริงที่ประณีตแบบที่มนุษย์ปุถุชนไม่เคยสัมผัส ทั้งกายและจิตหายไปอย่างสิ้นเชิง แต่สติยังอยู่ แค่ไม่มีขันธ์ห้าที่เป็นรูปนามหายไปหมด ได้เรียนรู้ว่าการเข้าถึงสภาวะนิพพานต้องใช้ปัญญาระดับสูงสุดและได้มาจากการเจริญสติเท่านั้น จิตจะต่างจากสมองตรงที่ สมองทำงานภายใต้เงื่อนไขของแสงและเวลา แต่จิตจะไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของแสงและเวลา ดังนั้น พระอรหันตเจ้าที่เข้าสู่พระนิพพานก็ยังสามารถช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรมได้อยู่ตลอดเวลาจากอีกมิติ แต่จะไม่มีการลงมาเกิดอีกแล้ว เพราะทรงอยู่เหนือสังสารวัฏ แต่จะไม่ช่วยเหลือทางโลก คือ ไม่ช่วยให้สมหวังในรัก โลภ โกรธ หลง ลาภยศสรรเสริญ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดทุกข์ตามมาเรื่อยๆ ได้เรียนรู้ว่าการเจริญสติ ทำให้สามารถเข้าใจจักรวาลได้ทั้งรูปและนาม ลึกซึ้งกว่าการทำความเข้าใจด้วยตาเนื้อและกายหยาบเสียอีก ความรู้เรื่องของมิติทั้งหมด ความไม่มีอยู่จริงของกาลเวลาและระยะทาง ความลับของจักรวาล ล้วนซ่อนอยู่ในจิตของเราเอง รวมทั้งเรื่องของภพภูมิต่างๆที่ซ้อนทับกันอยู่ การเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่มีวันเข้าใจ แต่เป็นความจริงในอีกระดับของจักรวาล ได้เรียนรู้ว่าแม้จะไม่สามารถบรรลุนิพพานได้ในชาติภพเดียว แต่ปัญญาสามารถสะสมได้ทุกชาติไป โดยความรู้เป็นเรื่องของสมองสามารถสอนกันได้ แต่ปัญญาเป็นเรื่องของจิตที่จะติดตัวไปทุกภพ และเป็นเรื่องเฉพาะตนที่สอนกันไม่ได้ ได้เรียนรู้ว่าการเติบโตของต้นไม้ ความเร็วเสียง การไหลของน้ำ การสั่นของโมเลกุล Metabolism ของเซลล์ จะเร็วขึ้นได้ ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น ความร้อนที่มากขึ้นจะเป็นการเร่งการทำงานของกลไกต่างๆ ในทางนามธรรมเราใช้ความร้อนเปรียบเทียบกับใจ ใจร้อนจะรู้สึกว่าเวลาเดินเร็ว รอคอยเพียง 5 รู้สึกราวกับครึ่งชั่วโมง ส่วนคนใจเย็นจะรู้สึกว่าเวลาเดินช้ารอครึ่งชั่วโมงจะรู้สึกว่ารอแค่ 5 นาที ได้เรียนรู้ว่าจักรวาลเกิดจากจิต ถ้าเข้าใจจิตก็เข้าใจจักรวาล แต่การจะเข้าใจจิตได้ ต้องแยกสติซึ่งเป็นองค์ประกอบของจิตออกมาเป็นผู้ดู แล้วจะทำให้เห็นสัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ ที่อยู่ในจิตอย่างชัดเจน แต่การไปถึงขั้นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ได้เรียนรู้ว่าการปฏิบัติธรรมให้ได้ฌานและญาณระดับโลกียะ คือการสามารถแยกจิตออกจากสมอง พ้นจากอิทธิพลของสอง แต่ยังอยู่ภายใต้อำนาจของจิต ถึงขั้นนี้แล้วจะรู้ว่าจิตกับสองเป็นคนละส่วนกัน ทำให้เข้าใจเรื่องของอภิญญา การยืดหดของเวลา การตายแล้วเกิด โดยไม่มีข้อสงสัย ส่วนการแยกสติออกจากจิตต้องบรรลุญาณระดับโลกุตตระ สติที่หลุดออกมาจะพ้นจากอำนาจแห่งจิต ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ และสติตัวเดียวกันนี้จะทำให้สามารถหยั่งรู้เรื่องทางอุตุนิยาม (กายภาพ) และพีชนิยาม (ชีวภาพ) ได้ด้วย ทั้งหมดนี้ถือเป็นข้อคิดที่น่าสนใจ เป็นเหตุเป็นผล โดยที่ไม่เคยมีใครจับเอาสองประเด็นมาชี้ให้เห็นว่ามีความสอดคล้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ เราอาจจะเคยเรียนรู้ทั้งพุทธศาสตร์และวิทยาศาสตร์ แต่เรามักจะไม่เห็นความเชื่อมโยงได้แบบนี้เลย ยอมรับว่าเนื้อหาภายในเล่มค่อนข้างยากสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่คุ้นเคยภาษาวิชาการ แต่ผู้ที่คุ้นเคยจะทำความเข้าใจได้ดีกว่า และรู้สึกว่าผู้เขียนถ่ายทอดออกมาให้เข้าใจง่ายได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งก็ยอมรับว่านี่อาจจะเป็นจุดอ่อนของหนังสือเล่มนี้ แต่ถ้าเข้าใจถึงหนังสือกำลังพยายามจะสื่อ ก็จะตระหนักกับการปฏิบัติธรรมมากขึ้น เครดิตภาพภาพปก โดย Pexels จาก Pixabay.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย leninscape จาก Pixabay.comภาพที่ 4 โดย Activedia จาก Pixabay.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็นรีวิวหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น 2รีวิวหนังสือ กรรม-พันธุ์ โดยทันตแพทย์สม สุจีรารีวิวหนังสือ ทวาร 6 ศาสตร์แห่งการรู้ทันตนเองรีวิวหนังสือ “เดอะท็อปซีเคร็ต” เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !