แบงก์ธนาคารออมสินคาดขนส่งสินค้า-สุขภาพฟื้นตัวเร็วจากโควิด-19 ส่วนสายการบิน-อสังหาฯ ทรุดยาว
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีความรุนแรง ซึ่งส่งผลให้ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อสะสมสูงถึง 4.1 ล้านราย ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิต มีมากกว่า 2.8 แสนราย ทำให้ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) และองค์การการค้าโลก(WTO) คาดว่าเศรษฐกิจและการค้าโลกในปี 2563 มีแนวโน้มหดตัว -3.0% และ -12.9% (yoy) ตามลำดับ
โดยเฉพาะในประเทศที่มีการระบาดรุนแรงในระดับสูงมาก เช่น สหรัฐฯ และ ทวีปยุโรป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน 2563 เป็นต้นมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศจะเริ่มส่งสัญญาณระดับความรุนแรงที่ลดลงบ้างแล้วก็ตาม ซึ่งประเทศดังกล่าวเริ่มผ่อนคลายและลดความเข้มงวดของมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด แต่ก็ยังคงเป็นไปด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันและ ลดการเกิดการแพร่ระบาดรอบใหม่ หรือเช่นประเทศจีนที่เริ่มมีการแพร่ระบาดรอบใหม่ ก็ต้องกลับมาใช้มาตรการควบคุมเข้มงวดบางมาตรการใหม่อีกครั้งหนึ่ง
นายชาติชาย กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย แม้ว่าสถานการณ์จะไม่รุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับในอีกหลายประเทศ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจของไทยยังคงมีความรุนแรงและคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบสูงที่สุดใน ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยและ IMF คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 อาจมีแนวโน้มหดตัวสูงถึง -5.3% และ -6.7% ตามลำดับ เนื่องจากประเทศไทยมีการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าในระดับที่สูงมาก
ระบบเศรษฐกิจจึงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากปัจจัยภายนอกรุนแรง ทั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไป รวมถึงการส่งออกของไทยมีแนวโน้มหดตัวจากการชะลอตัว/หดตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญไม่ว่าจะเป็นอาเซียน (สัดส่วนส่งออก : 25.5%) สหรัฐฯ (สัดส่วนส่งออก : 12.8%) จีน (สัดส่วนส่งออก : 11.8%) ญี่ปุ่น (สัดส่วนส่งออก : 10.0%) และอียู (สัดส่วนส่งออก : 8.6%) เป็นต้น
นายชาติชาย กล่าวว่า นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยนอกจากจะได้รับผลกระทบจากรายได้จากการท่องเที่ยวและการส่งออกที่หายไปแล้ว ยังได้รับผลกระทบเพิ่มจากมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสของภาครัฐ โดยเฉพาะการล็อกดาวน์ พื้นที่และหลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งแม้ว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและสามารถควบคุมการระบาดได้อย่างน่าพอใจ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผลกระทบที่ต่อเนื่อง ถึงการจ้างงาน การอยู่รอดของกิจการ และการลดลงของกำลังซื้อของคนในประเทศ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวได้เกิดขึ้น เป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจและกลุ่มธุรกิจใน Sector ต่าง ๆ เกือบทั้งหมดของประเทศ
นายชาติชาย กล่าวว่า ผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 แม้จะมีความรุนแรง แต่เมื่อวิกฤตการระบาดผ่านพ้นและหากสถานการณ์ทุกอย่างสามารถกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ภายในครึ่งปีหลัง คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปในลักษณะ U-Shape และธุรกิจที่ได้รับผลกระทบคาดว่าจะทยอยฟื้นตัว แต่จะใช้เวลาในการฟื้นตัวมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะจำเพาะหรือโครงสร้างของแต่ละกลุ่มธุรกิจที่มีความแตกต่างกันออกไป รวมถึง ความรุนแรงของผลกระทบที่ได้รับที่แตกต่างกัน ส่งผลให้บางกลุ่มธุรกิจอาจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่บางกลุ่มธุรกิจอาจต้องอาศัยระยะเวลาในการฟื้นตัวนาน แล้วแต่กรณี
นายชาติชาย กล่าวว่า ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน คาดการณ์แนวโน้มการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจหลัง โควิด-19 พบว่าการฟื้นตัวของแต่ละธุรกิจจึงมีระยะเวลาที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งธุรกิจ ได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มธุรกิจที่คาดว่ามีแนวโน้มการฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็ว ประกอบด้วย ธุรกิจการขนส่งสินค้าและโดยสารทั่วไป (ทางบกและทางน้ำ), ธุรกิจสื่อสาร, ธุรกิจคลังสินค้า, ธุรกิจไปรษณีย์/การรับส่งของ, ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร, ธุรกิจสุขภาพ (การแพทย์และอนามัย), ธุรกิจขายปลีกสมัยใหม่ เช่น ห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น, ธุรกิจผลิตอุปกรณ์วิทยาศาสตร์/การแพทย์, ธุรกิจผลิตอะไหล่รถยนต์/รถจักรยานยนต์, ธุรกิจประกันสุขภาพ และธุรกิจการศึกษาออนไลน์
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่คาดว่ามีแนวโน้มการฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้ปานกลางประกอบด้วยธุรกิจการขนส่งโดยสารเพื่อการท่องเที่ยว (ทางบกและทางน้ำ), ธุรกิจโรงแรม, ตัวแทนธุรกิจเดินทาง/นำเที่ยว, ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม, ธุรกิจบันเทิง, ธุรกิจขายส่งขายปลีกที่เป็นรายย่อย, ธุรกิจผลิตเครื่องดื่ม, ธุรกิจผลิตกระเบื้อง/เครื่องปั้นดินเผา/ผลิตภัณฑ์แก้ว, ธุรกิจผลิตเครื่องจักร, ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, ธุรกิจกระดาษ, ธุรกิจเคมีภัณฑ์, ธุรกิจเหล็ก, ธุรกิจผลิตซีเมนต์/คอนกรีต, ธุรกิจประมงฯ, ธุรกิจก่อสร้าง, สถาบันการเงิน, ธุรกิจประกันภัย/ประกันอุบัติเหตุ และธุรกิจการศึกษา
กลุ่มธุรกิจที่คาดว่ามีแนวโน้มการฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้ช้า ประกอบ้ดวย ธุรกิจขนส่งทางอากาศ (สายการบิน), ธุรกิจผลิตเชื้อเพลิง, ธุรกิจรถยนต์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม หากว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ้นสุดลง และคาดว่าธุรกิจ จะทยอยฟื้นตัวซึ่งอาจใช้ระยะเวลาฟื้นตัวและกลับมาดำเนินการที่แตกต่างกันไป แต่คาดว่าจากเหตุการณ์นี้ จะมีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่ต้องปิดกิจการไปเนื่องจากอาจเป็นธุรกิจขนาดเล็ก มีสภาพคล่องไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงพนักงานและธุรกิจในช่วงที่มีปัญหาต่อเนื่องกันหลายเดือน หรืออาจเป็นธุรกิจที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนและความช่วยเหลือจากภาครัฐ ได้ค่อนข้างยาก ส่งผลให้ไม่สามารถก้าวผ่านวิกฤตในครั้งนี้ไปได้
นอกจากนี้จากการที่ประเทศพึ่งพารายได้จาก การส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ล้วนส่งผลให้การฟื้นตัวของธุรกิจส่วนใหญ่ของประเทศต้องขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักที่ไทยมีการส่งออก หรือเป็นประเทศหลักที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้กับ ประเทศไทย ซึ่งบทเรียนโควิด-19 น่าจะเป็นสิ่งที่ส่งผลให้ธุรกิจควรต้องตระหนักถึงการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อาทิ ไม่ควรหวังการพึ่งพารายได้จากภายนอกประเทศโดยเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง มากจนเกินไป ควรมีการสำรองเงินทุนให้เพียงพออย่างน้อย 6 เดือนเพื่อเป็นสภาพคล่องยามฉุกเฉิน และไม่ควรมี ภาระหนี้สินที่มากจนเกินไป รวมถึงสัดส่วนของรายได้ควรจะกระจายกลุ่มลูกค้าเพื่อลดความเสี่ยงให้กับกิจการ