เราได้มีโอกาสพูดคุยประเด็น "สิทธิของชาว LGBTQ+ ในการทำงาน" กับพี่ต้นตาล จบจาก ม.ธรรมศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ปัจจุบันทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ข้อจำกัดที่สร้างคามอึดอัด พี่ต้นตาลเล่าว่าทั้งตัวเขาเอง รวมถึงเพื่อนของเขาก็ยังคงพบเจอกับข้อจำกัดต่างๆ ที่ทำให้ชาว LGBTQ+ นั้นดูเหมือนจะเข้าทำงานได้ยากขึ้น หรือไม่ก็มีข้อจำกัดที่ยังคงสร้างความอึดอัด ง่ายๆ เลยก็เรื่องของการแต่งกายตามเพศสภาพ เพื่อนของพี่ต้นตาลเป็น trans ที่สวยเลย แบบผมยาว ภาพลักษณ์คือเป็นผู้หญิงแบบเต็มตัวแล้ว แต่ต้องไปสัมภาษณ์งานในหน่วยงานราชการ ซึ่งมีข้อบังคับให้แต่งกายตามเพศสภาพ โดยส่วนตัวพี่ต้นตาลมองว่า สังคมไทยยอมรับ LGBTQ+ แล้ว แต่ยังคงยอมรับแบบมีเงื่อนไข อธิบายให้เห็นภาพเลยคือ นอกจากจะยอมรับในมีจุดยืนในสังคมแล้ว เรื่องของกฎหมายต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญต่อพวกเขาเหมือนกัน ภาพจาก : TONTARN (ต้นตาล) (@tontarnsakul) • Instagram photos and videos "สิ่งสำคัญมากที่สุดเลยคือกฎหมายจะต้องรองรับ LGBTQ+ ตั้งแต่การทำงาน เป็นการตั้งกฎหมายที่ไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ อันนี้คือสิ่งสำคัญที่เราอยากจะผลักดันให้มันเกิดขึ้น รัฐจะต้องมีกฎหมายที่ชัดเจนและให้หน่วยงานแต่ละหน่วยงานนำกฎหมายเหล่านี้ไปใช้ คือ การรับเข้าทำงานเราจะไม่ตัดสินกันด้วยเพศ นี่คือสิ่งสำคัญที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น" "แล้วเรามองว่ากฎหมายมันจะทำให้ LGBTQ+ ได้รับสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนจะมองว่าพวกเรา เรียกร้องกฎหมายที่มันเกินตัว เรียกร้องมากเกินไป ทุกคนในสังคมจะมองแบบนี้ แต่เราอยากจะบอกสังคมให้รู้ว่ามันคือสิทธิขั้นพื้นฐานที่ LGBTQ+ ตอนนี้ยังไม่ได้รับ ซึ่งมันเป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรจะได้รับ เราไม่ได้เรียกร้องมากเกินไป มันคือสิ่งที่เราอยากจะบอกกับสังคมมากในตอนนี้" ให้โอกาส เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พี่ต้นตาลมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ชาว LGBTQ+ อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดนั้น คือ "เปลี่ยนคำนำหน้านาม" ถ้าเกิดเปลี่ยนได้จริง ข้อจำกัดหลายๆ อย่างนั้นจะหมดไปได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการทำงาน เพราะชาว LGBTQ+ จะสามารถเข้าทำงานตามความสามารถที่ตนมีได้ รวมทั้งเพิ่มโอากาสทางสังคมอื่นๆ ให้กับพวกเขามากยิ่งขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงคงจะเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น ไม่ให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะเรื่องกฎหมาย ซึ่งพี่ต้นตาลมีความคิดเห็นว่ากฎหมายเกี่ยวกับชาว LGBTQ+ นั้น ก็ควรที่จะมีชาวเราเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย เพราะคงไม่มีใครเข้าใจปัญหาได้ดีเท่าพวกเราเอง "ชาว LGBTQ+ ทุกคนมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นอยากให้มองที่ความสามารถมากกว่าภาพลักษณ์ หรือเพศสภาพ เพราะหากคุณตัดสินพวกเขาแค่เพียงภายนอก นั่นก็แสดงว่าคุณยังคงไม่ยอมรับพวกเขาจริงๆ" ภาพจาก : TONTARN (ต้นตาล) (@tontarnsakul) • Instagram photos and videos ครอบครัว การสร้างความเข้าใจ และการศึกษาก็เป็นสิ่งสำคัญ เพิ่มเติมจากพี่ต้นตาล การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศให้กับเด็กรุ่นใหม่ๆ นั้นก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน เพราะหากพวกเขาได้เรียนรู้แล้ว พอโตขึ้นมาเขาจะเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายนี้ และอาจทำให้เขายอมรับหรือมองว่ามันเป็นเรื่องปกติในสังคมที่ไม่ได้มีแค่เพศหญิงหรือชายเท่านั้น หลักสูตรการศึกษาก็ควรที่จะเพิ่มในส่วนนี้เข้าไปเพื่อเป็นการสร้างองค์ความรูู้ให้พวกเขาเข้าใจและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ ซึ่งส่วนนี้อาจจะช่วยลดปัญหาการ Bully เพื่อนในห้องเรียนที่เป็น LGBTQ+ รวมถึงลดปัญหาต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อทั้งชาว LGBTQ+ เองและคนอื่นๆ ในสังคม ในเรื่องของครอบครัว พี่ต้นตาลเล่าว่าสิ่งนี้คือสำคัญที่สุดที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจความหลากหลายนี้ เพราะครอบครัวเป็นสังคมแรกที่เด็กทุกคนต้องเจอ คนในครอบครัวควรที่จะสร้างความเข้าใจ ให้ความรู้ เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เพราะลำพังเองหลักสูตรการศึกษาหรืออะไรต่างๆ ก็คงทำให้พวกเขาเข้าใจได้ยาก แต่ถ้าหากครอบครัวใส่ใจในเรื่องนี้ เด็กๆ จะเข้าใจและมองว่าสิ่งนี้เรื่องปกติที่เกิดขึ้นในทุกสังคมทั่วไป ภาพจาก : TONTARN (ต้นตาล) (@tontarnsakul) • Instagram photos and videos ทั้งหมดที่พี่ต้นตาลได้แสดงความคิดเห็นออกมานั้น คงเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของชาว LGBTQ+ ที่อยากให้สังคมเปลี่ยนแปลงขึ้น อย่างที่บอกไปว่าชาว LGBTQ+ นั้นไม่ได้เรียกร้องมากเกินไป แต่สิ่งที่เขาพยายามขับเคลื่อนั้น มันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขา และพวกเขามองว่าสิ่งเหล่านี้แหละ ทำให้มีสิทธิ์เสรีภาพเท่าเทียมกับทุกๆ คนในสังคม... อ่านบทความเต็มได้ที่ LGBTQ+ กับสังคมที่ (ไม่) เปิดกว้าง THE PROTOTYPE by CA@PIM เรื่อง : WINNY เครดิตภาพ : ปก โดย ผู้เขียน / ภาพพี่ต้นตาล : TONTARN (ต้นตาล) (@tontarnsakul) • Instagram photos and videos เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !