‘ททท.’ มุ่งปี 65 สู่การท่องเที่ยวมูลค่าสูง-ยั่งยืน กระตุ้นไทยเที่ยวเพิ่ม-ดึงต่างชาติปั้นรายได้ 1.12 ลลบ.
นายยุทธศักดิ์ สุภสร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในปี 2565 วางแผนในการพลิกโฉมภาคการท่องเที่ยวไทย ภายใต้แนวคิดอะเมซิ่ง นิว แชปเตอร์ หรือการสร้างภาพใหม่ของการท่องเที่ยว โดยเริ่มตั้งแต่การเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เมื่อเดือนกรกฎาคม และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เพื่อสร้างสมดุลย์ในด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ก่อนจะเริ่มทำการคืนสภาพเดิมของธุรกิจการท่องเที่ยว หรือการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวให้เป็นวีเซฟ ตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 ถึงปี 2565 การสร้างความยืดหยุ่นและทนทานกับปัญหาใหม่ที่จะเกิดขึ้น เพื่อวางรากฐานไปสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่มีมูลค่าสูง (ไฮ แวลู) และการสร้างความยั่งยืน (ซัสเทนเนเบิ้ล) เริ่มตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป โดยต้องคงความสำคัญของการท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจไทย เร่งฟื้นตัว ลุกเร็ว ก้าวไว เติบใหญ่ เข้มแข็ง รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ซึ่งเน้นให้ภาคการท่องเที่ยวเป็นพระเอกในการสร้างรายได้เข้าประเทศไทยต่อไป โดยททท. วางเป้าหมายการสร้างรายได้ของภาคการท่องเที่ยวปี 2565 รวมอยู่ที่ 1.12 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีจำนวน 10 ล้านคน สร้างรายได้ 6.3 แสนล้านบาท และตลาดไทยเที่ยวไทย เดินทาง 120 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 4.9 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่สอดรับกับสภาพการปัจจุบัน
นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า กำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดไว้ 3 แบบได้แก่ 1.อัตราการเข้าพักแรมอยู่ที่ 50% โดยจะต้องกระตุ้นให้การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น และเป็นการเดินทางที่พักค้างคืนด้วย ซึ่งในเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา มีอัตราการพักแรมอยู่ที่ 25% ทำให้ตั้งเป้าในปี 2565 จะต้องดึงการพักแรมกลับมาไม่น้อยกว่า 50% ในทุกพื้นที่ให้ได้ 2. อัตราการบรรทุกผู้โดยสารอยู่ที่ 70% โดยจะต้องดึงความสามารถในการรองรับผู้โดยสารสูงสุดกลับมาอย่างน้อย 50% ก่อน เพราะหากจำนวนผู้โดยสารไม่กลับมา สายการบินไม่ทำการบิน ตั๋วเครื่องบินก็จะมีราคาแพง ส่งผลกระทบต่อการเดินทางระยะไกล และ 3. ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริป แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 12,580 บาท และนักท่องเที่ยวไทยอยู่ที่ 4,100 บาท ในส่วนของกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเน้นเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ รายได้สูง และมุ่งเน้นให้การท่องเที่ยวมีมูลค่าเพิ่ม โดยจะแบ่งเป็นเซกเมนต์และทำการตลาดให้ตรงกับเซกเมนต์ของลูกค้า ผ่านการทำตลาดด้วยเทคโนโลยีในการประยุกต์การตลาดแบบสร้างเรื่องเล่า (สตอรี่) พิเศษเฉพาะขึ้นมามากกว่าการขายตรงที่ตัวแหล่งท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว เพื่อมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน อาทิ แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นทะเลเหมือนกัน แต่จะสร้างเรื่องราวที่มีความพิเศษของทะเลแต่ละพื้นที่ ว่าทำไมจะต้องไปเที่ยวทะเลเหล่านั้น เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ในรูปแบบใด รวมถึงสนับสนุนการท่องเที่ยวให้มีความหลากหลายและเพิ่มมูลค่า อาทิ การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวสำราญทางน้ำ และการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภูมิภาค เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพ และเต็มใจจ่ายด้วยราคาสูง ซึ่งจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของสินค้าที่จะขายนั้น วางตัวย่อไว้คือ NFX X (Experience Thai Tourism) เน้นใน 3 รายการ ได้แก่ 1.Nature to keep การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่เป็นการปกป้องและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 2.food to explore หรือการท่องเที่ยวเชิงอาหาร และต่อยอดอาหารไทยสู่ความเป็นสากลมากขึ้น และ 3.thainess to discover หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพต่างๆ โดยมีแผนการทำตลาดผ่านการดึงอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้มีอิทธิพลบนสื่อโซเชียล ที่ทำคอนเทนต์เผยแพร่ตามแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ ยูทูป เฟซบุ๊ก ซึ่งจะต้องมียอดผู้ติดตามเกิน 1,000,000 คน เพื่อทำการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากหากทำแคมเปญร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ 1 คน ที่มียอดผู้ติดตามเกิน 1 ล้านคน เท่ากับเราสามารถสร้างการรับรู้ให้กับผู้ติดตามเหล่านั้นได้ด้วย สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัล ผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ เข้ามาสนับสนุนในการปรับใช้ เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ให้ความสำคัญกับการลงทุนในการพลิกโฉมสู่ยุคดิจิทัลของภาคการธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงพัฒนานวัตกรรมบนพื้นฐานของเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อมอบบริการที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย รวมถึงสะดวกด้านการให้บริการที่ช่วยให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น ในการสื่อสารและการรับข้อมูลเชิงลึกจากนักท่องเที่ยวได้
“ในอนาคตจะเห็นททท.ร่วมมือกับเครือข่ายหรือองค์กรที่มีส่วนได้ส่วนเสียมากขึ้น เป็นทีเอทีเอ็กซ์ (TAT X) กับพันธมิตร เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มใหม่ เหมือนแนวคิดที่จะทำเหรียญดิจิทัล หรือคลิปโตเคอร์เรนซีขึ้น เพื่อใช้ในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งแรกปี 65 นี้ ความเป็นไทยมีเอกลักษณ์ที่มีความยูนีก (พิเศษ) ซึ่งจะต้องทำให้สามารถจับต้องได้ ไม่ใช่แค่การพูดเพียงอย่างเดียว โดยมองว่าการท่องเที่ยวในอนาคตการกลับมาเพียงอย่างเดียวไม่พอ เนื่องจากคนส่วนใหญ่มองว่า การกลับมาท่องเที่ยวในรูปแบบเดิมๆ ไม่เพียงพอแล้ว เราจึงจะต้องมีการปรับโครงสร้างเพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ทำให้การวางแผนในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืน หรือการเปลี่ยนอีโคซิสเต็มของการท่องเที่ยวใหม่ สร้างรายได้เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมทั้งกระจายความมั่งคั่งสู่ท้องถิ่นชุมชน สร้างสมดุลย์ระหว่างซัพพลายและดีมานด์ รวมถึงพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ” นายยุทธศักดิ์ กล่าว