เปิดโผหุ้นได้-เสียประโยชน์ จากนโยบายทรัมป์ 2.0
#ทันหุ้น - บล.ดาโอ เปิดโผหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ 2.0 มีมุมมองเป็นลบต่อแนวโน้มราคาพลังงานในระยะยาว เชื่อว่าหากประธานาธิบดีทรัมป์สามารถดำเนินนโยบายได้ตามแผน จะส่งผลลบต่อราคาน้ำมันดิบ ราคาก๊าซ LNG รวมถึง ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ในระยะยาวได้เนื่องจากอุปทานที่สูงขึ้นในตลาดโลก
มองเป็นบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า
( + ) กลุ่มโรงไฟฟ้า: เป็นบวกกับกลุ่มโรงไฟฟ้า มีโอกาสที่ราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกลดลง จากการผลิตและส่งออกก๊าซธรรมชาติที่มากขึ้นของ US จะช่วยเพิ่มอุปทานในตลาดโลกมากขึ้น หุ้นที่ได้ positive sentiment จากประเด็นดังกล่าวคือ GPSC (ซื้อ/เป้า 60.00 บาท), BGRIM (ซื้อ/เป้า 35.00 บาท), GULF (ถือ/เป้า 60.00 บาท)
เป็นลบต่อกลุ่มพลังงาน-กลุ่มส่งออก
( - ) กลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น: ฝ่ายวิจัยมองว่าจะเป็นลบต่อราคาน้ำมันและก๊าซ LNG ในระยะยาวจากอุปทานที่สูงขึ้น แต่จะส่งผลบวกต่อราคาก๊าซธรรมชาติ US (Henry Hub) ได้เนื่องจากอุปสงค์การส่งออกที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกัน กลุ่มโรงกลั่นน่าจะได้รับผลกระทบจากแนวโน้ม crack spread ที่อ่อนตัวตามอุปทานที่สูงขึ้น โดยในระยะยาวมองเป็นลบต่อ PTTEP (ซื้อ/เป้า 160.00 บาท), TOP (ซื้อ/เป้า 36.00 บาท), SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท), BCP (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท)
( - ) กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง: โดยสำหรับนโยบายยกเครื่องระบบการค้า US ด้วยการเก็บภาษีอากรจากต่างประเทศ แม้ปัจจุบัน ประธานิบดีทรัมป์ จะยังไม่มีการประกาศนโยบาย tariffs ตั้งแต่วันแรกของการรับเข้าตำแหน่ง โดยยังให้ทีมบริหารศึกษาอยู่ อย่างไรก็ตาม ยังย้ำถึงนโยบายเก็บภาษีเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยกลุ่มประเทศที่มีโอกาสได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรก ได้แก่ จีน แคนาดา และเม็กซิโก อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศอื่นๆ รวมถึงไทย ยังต้องติดตามต่อ ทั้งนี้หุ้นกลุ่มส่งออกไทยที่มีสัดส่วนรายได้ส่งออกไปสหรัฐฯ สูง ได้แก่ AAI (ถือ/เป้า 6.00 บาท) และ ITC (ถือ/เป้า 22.50 บาท) ราว 50% และ TU (ถือ/เป้า 14.50 บาท) 40%
( - ) กลุ่มยางพารา: สำหรับนโยบายยกเลิกส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ฝ่ายวิจัยมองเป็น sentiment ลบต่อหุ้นกลุ่มยาง แม้ปัจจุบันรายได้ส่งออกของ NER (ถือ/เป้า 5.50 บาท) จะเป็นการส่งออกไปจีนเป็นหลัก แต่นโยบายดังกล่าวอาจส่งผลให้ความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าของตลาดโลกลดลงและอาจกระทบราคายางในอนาคต
ทั้งนี้ US ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน วานนี้ หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา (US) ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าจะใช้อำนาจประธานาธิบดีลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อลดราคาพลังงานใน US โดยตั้งเป้าลดราคาน้ำมันเบนซินและค่าไฟของชาวอเมริกันลงครึ่งหนึ่งภายในช่วงปีแรกที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
โดยประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจะอนุมัติให้มีการเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน วางท่อน้ำมัน ตั้งโรงกลั่นน้ำมันใหม่ รวมถึงสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลงเล็กน้อย วานนี้ ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.8% เป็น USD80.2/bbl นโยบายอื่นๆ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังมีการประกาศนโยบายในด้านอื่นๆ อีกมากมาย
ส่วนนโยบายที่สำคัญที่อาจจะกระทบต่อหุ้นที่ฝ่ายวิจัยดูแล คือ การยกเครื่องระบบการค้าของ US ด้วยการเก็บภาษีอากรจากต่างประเทศเพื่อสร้างความร่ำรวยให้ชาวอเมริกัน, การยกเลิกนโยบายส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึง การถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ