TOPค่ากลั่นลดไม่มาก Q2จะกำไรสต๊อก
TOP ชี้ดีมานด์น้ำมันไตรมาส 1 ฟื้นตัว ทั้งน้ำมันดีเซล อากาศยาน หลังการท่องเที่ยวฟื้น ส่วนไตรมาส 2 ความกังวลจากเศรษฐกิจโลกอาจกดดันดีมานด์ แต่ค่ากลั่นจะลดไม่มาก เพราะผู้ผลิตมีแนวโน้มลดค่าพรีเมียม และมีโอกาสกำไรสต๊อกน้ำมัน พร้อมเดินหน้าโครงการ CPF ตามแผนปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าแล้วกว่า 90% โบรกให้เป้า 80 บาท
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมการกลั่นในไตรมาส 1/2566 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ความต้องการใช้ได้รับแรงหนุนจากการเปิดเมืองของจีนที่ทำให้การเดินทางทั้งในและระหว่างประเทศกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลตรุษจีน ประกอบกับ Crude Premium ของซาอุดีอาระเบีย และ UAE ปรับลดลงประมาณ 2-3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากไตรมาสก่อนหน้าหลังอุปทานน้ำมันดิบในตลาดปรับเพิ่มขึ้นซึ่งช่วยส่งเสริมค่าการกลั่น
อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนมีนาคม ส่วนต่างราคาปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังเกิดวิกฤติในภาคธนาคารของสหรัฐ และยุโรป ทำให้ตลาดกังวลว่าจะกระทบถึงความต้องการใช้รวม ขณะที่อุปทานน้ำมันสำเร็จรูปของรัสเซียยังคงมีการซื้อ-ขายได้ในตลาดอย่างต่อเนื่องแม้จะมีการคว่ำบาตรอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์
ซึ่งผลให้ค่าการกลั่นในช่วงปลายไตรมาส 1/2566เริ่มปรับลดลง ค่าการกลั่นสิงคโปร์ปรับลดจาก 10.2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในเดือนมกราคม มาอยู่ที่ 7.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในเดือนมีนาคม ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยไตรมาส 1/2566ปรับตัวลดลง 4.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบดูไบ 80.2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 84.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังอุปทานน้ำมันดิบตึงตัวน้อยกว่าคาดและรัสเซียยังคงส่งออกน้ำมันได้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการขายไปยังจีน อินเดียและตุรกี ส่งผลให้กลุ่มโรงกลั่นจะมีขาดทุนทางสต๊อกเล็กน้อย ด้านความต้องการใช้ในประเทศไทยในเดือน มกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เติบโตต่อเนื่องที่ 6.3% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า) โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยานที่เติบโต 101%จากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะหลังการเปิดประเทศของจีนทำให้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนจะเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น
@ Q2 ค่ากลั่นลดลงไม่มาก
นายบัณฑิต คาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมการกลั่นในช่วงไตรมาส 2/2566จะยังคงถูกกดดันจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจและภาคธนาคาร รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางหลายแห่ง ทั้งธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางยุโรปที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่ช้าลง และอาจกระทบให้ความต้องการใช้น้ำมัน แต่อุปทานน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกปรับเพิ่มหลังสหภาพแรงงานในฝรั่งเศสยุติประท้วงทำให้โรงกลั่นเริ่มกลับมาดำเนินการ การส่งออกที่เพิ่มขึ้นของจีน และผลกระทบการคว่ำบาตรของรัสเซียที่มีอยู่อย่างจำกัด
อย่างไรก็ดี Crude Premium ที่มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องประมาณ 2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 2/2566มีส่วนช่วยพยุงให้ค่าการกลั่นปรับลดลงไม่มากนัก
@ มีสิทธิกำไรสต๊อก
นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากการประกาศลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัสและส่งผลให้โรงกลั่นกลับมามีกำไรจากสต๊อกน้ำมันได้ ทั้งนี้ ไทยออยล์ยังคงมีแผนจะเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต เท่าระดับเฉลี่ยก่อนช่วงโควิด เนื่องจากไม่มีแผนการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ โดยโรงกลั่นไทยออยล์สามารถปรับกระบวนการผลิตให้ผลิตน้ำมันอากาศยานในสัดส่วนที่มากขึ้นได้ หากตลาดมีความต้องการเพิ่มขึ้น และมีความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์
พร้อมกันนี้ปัจจุบันอัตราการกลั่นอยู่ในระดับสูงถึง 110%พร้อมกันนี้ยังเร่งดำเนินโครงการสำคัญตามแผนกลยุทธ์ เช่น โครงการพลังงานสะอาด หรือ Clean Fuel Project (CFP) ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการขยายตลาดไปต่างประเทศในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะ ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จในปี 2568ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วกว่า 90%
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดว่าประกาศงบวันที่ 10พฤษภาคม 2566 คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/2566ราว 4,487 ล้านบาท ลดลง 38%จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ฟื้นสูง จากไตรมาสก่อนหน้า หากตัดรายการพิเศษ ราว 277 ล้านบาท ออก คาดกำไรปกติราว 4,209ล้านบาท คงคำแนะนำ Buy ที่ ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท